โฆษณาฟรี โพสขายฟรี
		หมวดหมู่ทั่วไป => พูดคุยเรื่องทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 11 พฤษภาคม  2025, 19:52:26 น.
		
			
			- 
				หมอออนไลน์: เริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน (Acute herpetic gingivostomatitis) เฮอร์แปงไจนา (Herpangina) (https://doctorathome.com/)
 
 ทั้ง 2 โรคนี้เป็นแผลเปื่อยในช่องปากที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งพบได้บ่อยในเด็ก มีอาการแสดงคล้ายกัน คือ มีไข้ และแผลเปื่อยหลายแห่งในช่องปาก ทำให้เจ็บปากกลืนลำบาก อาจกินอาหารและดื่มน้ำได้น้อยจนเกิดภาวะขาดน้ำได้
 
 
 สาเหตุ
 
 เริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อครั้งแรก มักเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (herpes simplex virus/HSV-1) เป็นส่วนใหญ่ พบบ่อยในเด็กอายุ 10 เดือนถึง 3 ปี ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัว 2-3 วัน (อาจนานถึง 20 วัน)
 
 เฮอร์แปงไจนา เกิดจากการติดเชื้อไวรัสค็อกแซกกี (coxsackie virus) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ-เท้า-ปาก แต่เป็นชนิดเอ 2-6 และเอ 10 พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัว 2-9 วัน
 
 
 อาการ
 
 เด็กมักมีไข้สูงเกิดขึ้นเฉียบพลัน มีอาการเจ็บในปากหรือคอหอย ไม่ยอมกินอาหารและดื่มน้ำ เด็กเล็กอาจร้องกวน ไม่ยอมดูดนม ถ้าเป็นอยู่หลายวันอาจมีภาวะขาดน้ำตามมา ไข้มักจะเป็นอยู่ 1-4 วัน (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เด็กเล็กบางคนอาจมีอาการชักจากไข้
 
 ส่วนแผลในปากมีลักษณะดังนี้
 
 สำหรับโรคเริม จะมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ พุขึ้นที่เยื่อบุของริมฝีปาก เหงือก ลิ้น และเพดานปาก แล้วแตกเป็นแผลตื้นสีเทาบนพื้นสีแดง ขนาด 1-3 มม. มักมีอาการเหงือกบวมแดง ซึ่งอาจมีเลือดซึมและมีกลิ่นปาก มักตรวจพบต่อมน้ำเหลืองใต้คางโตและเจ็บ อาการต่าง ๆ จะเป็นอยู่ประมาณ 4-5 วันแล้วจะเริ่มทุเลา แผลมักหายได้เองภายใน 10-14 วัน
 สำหรับเฮอร์แปงไจนา จะมีจุดแดงหรือตุ่มน้ำเล็ก ๆ พุขึ้นที่เพดานอ่อน ลิ้น ลิ้นไก่ ผนังคอหอย  ทอนซิล แล้วแตกเป็นแผลสีขาวปนเทา ขนาด 2-5 มม. ซึ่งมักหายได้เองภายใน 5-7 วัน
 
 
 ภาวะแทรกซ้อน
 
 ที่พบบ่อย คือ ทำให้กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย เกิดภาวะขาดน้ำได้
 
 สำหรับโรคเริม เชื้ออาจแพร่ไปที่กระจกตา ทำให้กระจกตาอักเสบถึงสายตาพิการได้ (ดังนี้ ทุกครั้งที่สัมผัสถูกแผลเริม ควรล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปที่กระจกตา)
 
 
 การวินิจฉัย
 
 แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมักตรวจพบไข้ ตุ่มน้ำเล็ก ๆ ในช่องปาก ต่อมน้ำเหลืองใต้คางโตและเจ็บ บางรายพบภาวะขาดน้ำ
 
 ในรายที่เป็นเรื้อรังหรือสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจเพาะเชื้อ การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น
 
 
 การรักษาโดยแพทย์
 
 1. ให้การรักษาตามอาการ ได้แก่ ให้ยาพาราเซตามอลลดไข้
 
 แนะนำให้พยายามป้อนอาหารเหลวหรือของน้ำ ๆ (เช่น นม น้ำเต้าหู้ น้ำหวาน ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด) โดยใช้ช้อนป้อนหรือกระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปาก ให้เด็กอมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ หรือกินไอศกรีมเพื่อลดอาการ
 
 ในรายที่เจ็บแผลรุนแรง (ซึ่งพบได้น้อย) แพทย์อาจหายาชาชนิดเจลป้ายแผลในปากเพื่อลดปวด
 
 2. ถ้ามีภาวะขาดน้ำหรือกินไม่ได้ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
 
 3. ถ้าวินิจฉัยว่าเป็นเริมในช่องปาก แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ นาน 7 วัน
 
 4. หากอาการไม่ทุเลาภายใน 4-7 วัน หรือสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ
 
 ผลการรักษา มักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
 
 
 การดูแลตนเอง
 
 หากมีแผลเปื่อยในปากที่ปวดเจ็บมาก กินอาหารและดื่มน้ำลำบาก หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์
 
 เมื่อตรวจพบว่าเป็นเริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน หรือเฮอร์แปงไจนา ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
 
 ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 4-7 วัน, มีไข้กำเริบใหม่, กินอาหารไม่ได้หรือดื่มน้ำได้น้อย, มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา หรือมีความวิตกกังวล
 
 
 การป้องกัน
 
 1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นมีตุ่มตามผิวหนังหรือเยื่อเมือก หรือผู้ที่มีแผลเปื่อยในช่องปาก
 
 2. ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ มีดโกน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า เครื่องสำอาง) ร่วมกับผู้อื่น
 
 3. หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หลังสัมผัสตัวผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเริมหรือเฮอร์แปงไจนา
 
 
 ข้อแนะนำ
 
 เด็กที่มีไข้และแผลเปื่อยในปาก ควรแยกออกจากโรคมือ-เท้า-ปาก ซึ่งจะมีผื่นขึ้นที่มือและเท้าร่วมด้วย และกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน ซึ่งจะมีผื่นขึ้นตามตัวร่วมด้วย