head prakardsod






























































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
ไหว้พระ วัดศักดิ์สิทธิ์ วัดสวย เที่ยววัดดัง ใกล้กรุงเทพ

การไหว้พระขอพรตามวัดศักดิ์สิทธิ์ วัดสวย และวัดดังใกล้กรุงเทพฯ เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ทำบุญ เสริมสิริมงคลแล้ว ยังได้ชื่นชมความงดงามของสถาปัตยกรรมและธรรมชาติอีกด้วยครับ

นี่คือลิสต์วัดแนะนำที่น่าไปเยือน ใกล้กรุงเทพฯ:

กลุ่มวัดยอดนิยมตลอดกาล (เน้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้คนศรัทธาจำนวนมาก)

วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) - นครปฐม

จุดเด่น: ประดิษฐาน "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครปฐม ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ การค้าขาย โชคลาภ และความสำเร็จ

บรรยากาศ: วัดใหญ่ มีพื้นที่กว้างขวาง ริมแม่น้ำท่าจีน มีตลาดน้ำและร้านค้ามากมายบริเวณรอบวัด

การเดินทาง: ประมาณ 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร - นครปฐม

จุดเด่น: เป็นที่ประดิษฐาน "องค์พระปฐมเจดีย์" พระมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นปูชนียสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาแห่งแรกๆ ของไทย

บรรยากาศ: องค์เจดีย์ยิ่งใหญ่และงดงาม เหมาะแก่การสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล

การเดินทาง: ประมาณ 1 - 1.5 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดสว่างอารมณ์ (แคแถว) - นครปฐม

จุดเด่น: โด่งดังเรื่องการขอโชคลาภ เงินทอง และการงาน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้มากมาย เช่น พระเงินพระทอง, ตาทองงิ้วราย (กุมารทอง), ปู่ฤาษีชีวก และมีพิธีลงอักขระยันต์ที่หลังมือและหน้าผาก

การเดินทาง: ประมาณ 1 - 1.5 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดกลางบางพระ (หลวงพ่อสมหวัง) - นครปฐม

จุดเด่น: ประดิษฐาน "หลวงพ่อสมหวัง" ที่มีชื่อเสียงเรื่องการขอพรแล้วสมหวัง โดยเฉพาะเรื่องโชคลาภและการเงิน มีของแก้บนมากมาย

การเดินทาง: ประมาณ 1 - 1.5 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร - สระบุรี

จุดเด่น: เป็นที่ประดิษฐาน "รอยพระพุทธบาท" อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีงานประเพณีนมัสการรอยพระพุทธบาทที่ยิ่งใหญ่

บรรยากาศ: พระมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทมีความงดงามวิจิตรตระการตา

การเดินทาง: ประมาณ 1.5 - 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดท่าไม้ - สมุทรสาคร

จุดเด่น: มีชื่อเสียงด้านการทำบุญเสริมดวงชะตา และการขอพรในด้านต่างๆ เช่น การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และรูปปั้นองค์เทพหลายองค์

การเดินทาง: ประมาณ 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ

กลุ่มวัดสวย มีเอกลักษณ์ (เน้นสถาปัตยกรรมและ Unseen)


วัดบางกุ้ง (โบสถ์ปรกโพธิ์) - สมุทรสงคราม

จุดเด่น: Unseen Thailand ของแท้! โบสถ์เก่าแก่ที่ถูกโอบล้อมด้วยรากและลำต้นของต้นไทรขนาดใหญ่ 4 ต้น ดูลึกลับและน่าอัศจรรย์ ภายในประดิษฐานหลวงพ่อนิลมณี

บรรยากาศ: แปลกตา งดงาม มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับค่ายบางกุ้งและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

การเดินทาง: ประมาณ 1.5 - 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดจุฬามณี - สมุทรสงคราม

จุดเด่น: โด่งดังเรื่อง "ท้าวเวสสุวรรณ" ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องโชคลาภ ความร่ำรวย ปัดเป่าสิ่งไม่ดี และความปลอดภัย

บรรยากาศ: วัดมีการตกแต่งที่สวยงาม อลังการด้วยพุทธศิลป์

การเดินทาง: ประมาณ 1.5 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ (ใกล้กับตลาดน้ำอัมพวา)


วัดสามพราน (วัดมังกร) - นครปฐม

จุดเด่น: มีอาคารทรงกระบอกสีชมพูสูงใหญ่ 17 ชั้น และมีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่เลื้อยพันรอบอาคารขึ้นไปถึงยอด เป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและน่าทึ่งมาก สามารถเดินขึ้นบันไดหรือใช้ลิฟต์ไปตามตัวมังกรได้

บรรยากาศ: สวยงาม แปลกตา เป็นเอกลักษณ์

การเดินทาง: ประมาณ 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


วัดโสธรวรารามวรวิหาร - ฉะเชิงเทรา

จุดเด่น: ประดิษฐาน "หลวงพ่อโสธร" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความสำเร็จ ค้าขาย และโชคลาภ

บรรยากาศ: พระอุโบสถหลังใหญ่ งดงาม มีผู้คนมานมัสการจำนวนมาก

การเดินทาง: ประมาณ 1.5 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ


ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

แต่งกายสุภาพ: ทุกครั้งที่เข้าวัด ควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย

ตรวจสอบวันเวลา: บางวัดอาจมีวันหยุดหรือเวลาทำการที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ

วางแผนการเดินทาง: หากต้องการไปหลายวัดในวันเดียว ควรวางแผนเส้นทางให้ดี

กิจกรรมเสริม: หลายวัดอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น ตลาดน้ำ คาเฟ่ สามารถวางแผนเที่ยวควบคู่กันได้

ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ และมีความสุขกับการทำบุญ ไหว้พระ เสริมสิริมงคลนะครับ!

2
จัดฟันบางนา: เผย 4 ความเสี่ยงสุดอันตราย ในการจัดฟันแฟชั่น

ต้องขอบอกเลยว่าการจัดฟัน เป็นหนึ่งในการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในประเทศไทยรวมถึงในระดับโลก เนื่องจากว่าฟันผิดรูปถือว่าเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากอย่างรุนแรงหากว่าไม่รีบทำการรักษา แต่ด้วยการใส่อุปกรณ์จัดฟันที่มีความโดดเด่นจึงทำให้หลายๆท่านมองว่าการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรมเพื่อใช้ในการจัดฟันนี้มีความสวยงามดูดี จึงมีหลายๆท่านอยากจะใส่อุปกรณ์จัดฟันเหล่านี้ แต่ด้วยราคาที่แพงพอสมควร รวมถึงบางท่านการเรียงตัวของฟันสวยงามอยู่แล้วทันตแพทย์จึงไม่แนะนำให้ทำการใส่อุปกรณ์จัดฟัน

ส่งผลให้เกิดเหล่าพ่อค้าแม่ค้าหัวใส หวังเข้ามากอบโกยโดยไม่เป็นห่วงถึงความปลอดภัยของคนอื่น ได้รับจัดฟันแฟชั่นด้วยราคาที่ถูกเพียงหลักร้อย ทำให้มีวัยรุ่นเป็นจำนวนมากเข้ารับการจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้ จนกระทั่งธุรกิจจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับอันตรายเกี่ยวกับการจัดฟันแฟชั่นที่ไม่ได้มาตรฐานเหล่านี้ ซึ่งขอบอกเลยว่าอันตรายจนท่านคาดไม่ถึงเลย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


การจัดฟันแฟชั่นคืออะไร ?

เนื่องด้วยการจัดฟันโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ความสามารถ และถูกต้องตามกฎหมายนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และใช้ระยะเวลาที่นานเป็นขั้นเป็นตอน หลายๆคนจึงได้หันไปใช้วัสดุการจัดฟันเลียนแบบซึ่งหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดซึ่งมีราคาถูก แต่ก็ต้องยอมแลกมาด้วยความเสี่ยงมากมาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์จัดฟันเลียนแบบนี้จะทำขึ้นมาจากวัสดุง่ายๆรอบตัว ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่พบเจอวัสดุเลียนแบบที่นิยมนำมาใช้ทำอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นคือ

– หนังยาง หรือ ยางรัดผม

– ไหมขัดฟัน

– ลวดหนีบกระดาษ

– เส้นลวดขนาดเล็ก

– ลูกปัด

– รวมถึงวัสดุอื่นๆตามที่ผู้ทำจะนำมาตกแต่งเพิ่ม


อันตรายจากการจัดฟันแฟชั่น ?

ผู้ที่ให้บริการจัดฟันแฟชั่นมักไม่ใช่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีความรู้ด้านทันตกรรม ไม่มีใบประกอบวิชาชีพทางทันตกรรม และที่สำคัญไม่มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ เพราะหากว่าเป็นทันตแพทย์จริงๆ จะไม่ยินยอมในการจัดฟันให้ผู้ที่ไม่มีปัญหาที่ต้องแก้ไข ซึ่งต่างกันกับการจัดฟันแฟชั่นเพราะเขาไม่สนใจว่าสุขภาพช่องปากของท่านเป็นอย่างไร จากฟันที่สวยงามอาจจะกลายเป็นย่ำแย่ไปได้ในเวลาไม่นาน ซึ่งอันตรายจากการจัดฟันแฟชั่นนั้นมีมากมาย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

– อาการแพ้

ต้องบอกเลยว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดฟันแฟชั่น โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อใช้สำหรับการจัดฟันโดยตรง จึงมักมีส่วนผสมของสารพิษจำพวก สารปรอท สารตะกั่ว สารหนู หรือแคดเมีย รวมอยู่ด้วยในลวดและอุปกรณ์แต่งเติมที่ใช้ในการทำอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่น ซึ่งสารพิษเหล่านี้เมื่อมีการสะสมในร่างกายนานๆอาจจะส่งผลให้มีอันตรายต่อสุขภาพ และอาการแพ้ได้นั่นเอง

– อักเสบ ติดเชื้อ

ผู้ที่รับจัดฟันแฟชั่นโดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงถึงความสะอาด และสุขอนามัยที่ควรจะเป็น และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้องตามแบบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ วัณโรค เป็นต้น และที่สำคัญด้วยวัสดุจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะส่งผลให้เศษอาหารเข้าไปติดและทำความสะอาดยากมากกว่าปกติ ผลสุดท้ายการสะสมของเชื้อโรคก็จะทำให้ช่องปากติดเชื้อได้ในที่สุด

– ฟันและเหงือกเสียหาย

ต้องขอบอกเลยว่าเทคนิคการจัดฟันถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ต้องศึกษาและเรียนรู้โดยตรง ไม่ใช่ว่าใครๆก็สามารถทำได้ เพราะแรงกดจากอุปกรณ์จัดฟันที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการวินิจฉัยและวิเคราะห์อย่างละเอียด จะเป็นตัวสำคัญในการทำให้ฟันเคลื่อนที่จนกระทั่งเข้าที่ แต่หากว่าเป็นการจัดฟันแฟชั่นซึ่งไม่ได้รับการเรียนรู้ซึ่งแน่นอนว่าวินิจฉัยไม่เป็นอาจจะส่งผลให้เกิดแรงกดทับมากเกินไปส่งผลให้ฟันผิดรูปได้ รวมถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะทำให้เกิดการบาดเหงือกหรือกระพุ้งแก้ม และถ้าไม่รีบทำการรักษาอาจมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งในช่องปากได้อีกด้วย

เนื่องจากว่าการจัดฟันแฟชั่นถือได้ว่าเป็นการนำอุปกรณ์และวัสดุต่างๆ มาใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือการนำวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้ในการจัดฟัน แถมด้วยผู้ที่ให้บริการไม่มีความรู้ทางด้านทันตกรรม จึงมีความเสี่ยงอันตรายได้ทุกครั้งที่ทำการจัดฟันแฟชั่น

3
มาตรการติดตั้งฉนวนกันความร้อนช่วงโควิด เนรมิตบ้านเย็นอย่างปลอดภัย

ปัญหาบ้านร้อนเป็นสิ่งที่รีรอช้าไม่ได้ เพราะยิ่งปล่อยนานวันไป นอกจากจะทำให้คุณภาพการอยู่อาศัยย่ำแย่ลงแล้ว ก็ยังเสี่ยงต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา

แต่ครั้นจะเรียกช่างมาติดตั้งฉนวนกันความร้อน ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะช่วงนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19

ดังนั้น ในการติดตั้งฉนวนกันความร้อน จึงจำเป็นต้องดำเนินการด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรง เพื่อให้ติดตั้งแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการการติดตั้งที่ปลอดภัยที่สุด

บริการติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกคนอุ่นใจและมั่นใจว่าจะได้บ้านเย็นอย่างปลอดภัย ด้วยมาตรการ ดังต่อไปนี้


1.ทีมงานช่างติดตั้ง ต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าหน้างาน

ทีมงานติดตั้งฉนวนกันความร้อน ได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ

ทั้งก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ในหน้างานจริงวันติดตั้ง ก็จะต้องผ่านเกณฑ์การวัดอุณหภูมิตามมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผู้ไม่มีความเสี่ยง เพื่อความปลอดภัยในการดำเนินการติดตั้ง


2.สวมใส่หน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อตลอดการทำงาน

แม้จะได้รับการคัดกรองแล้วว่าทีมงานทุกคนไม่เป็นผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ แต่เพื่อให้การดำเนินการติดตั้งฉนวนกันความร้อนเป็นไปอย่างรัดกุมและปราศจากโอกาสในการแพร่เชื้อมากที่สุด

ทีมงานติดตั้งฉนวนกันความร้อนทุกคน จะสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เข้าพื้นที่หน้างาน จนกระทั่งติดตั้งแล้วเสร็จ


3.ล้างมือก่อนและหลังการให้บริการ

ในการติดตั้งฉนวนกันความร้อนนั้น ทีมงานทุกคนจะล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ และสวมใส่ถุงมือขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยหลังจากทำการติดตั้งฉนวนกันความร้อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ก็จะล้างมื้อด้วยน้ำยาทำฆ่าเชื้ออีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามือที่สัมผัสกับทุกๆ จุดภายในบ้านนั้น สะอาด ปลอดภัย และปลอดเชื้อมากที่สุด


4.เว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ไม่พูดคุยขณะปฏิบัติงาน

ในขณะปฏิบัติการติดตั้งฉนวนกันความร้อน ทีมงานจะเว้นระยะห่างในการทำงานระหว่างกันและกัน รวมถึงยังเคลียร์พื้นที่ให้เว้นระยะห่างกับลูกค้าอย่างเหมาะสมด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด

รวมถึงยังงดการพูดคุยระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุด พูดคุยเฉพาะที่จำเป็นต่อการดำเนินการติดตั้ง เพื่อลดโอกาสในการเกิดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดลงให้ได้มากที่สุด


อยากติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool ต้องทำอย่างไร?

สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการติดตั้งฉนวนกันความร้อนให้กับฝ้าเพดานที่บ้านของตัวเองล่ะก็ สามารถติดต่อนัดหมายกับทีมช่างผู้เชี่ยวชาญกับทางทีมงานได้เลย โดยมีรายละเอียดขั้นตอน ดังต่อไปนี้

    นัดหมายและชำระค่าบริการสำรวจ เพื่อตรวจสอบพื้นที่และวัดหน้างานจริง ซึ่งทีมงานจะต้องเข้าตรวจหน้างานเพื่อพิจารณาว่าฝ้าเพดานสามารถติดตั้งฉนวนกันความร้อนได้หรือไม่ หลังคามีการรั่วซึมหรือไม่ รวมถึงคำนวณพื้นที่ฝ้า และแจ้งปริมาณของฉนวนกันความร้อนที่ต้องใช้ให้ทราบอย่างชัดเจน
    อนุมัติ และชำระค่าบริการตามใบเสนอราคาค่าติดตั้ง
    ทีมงานนัดหมายวันดำเนินการติดตั้งก่อนเข้าติดตั้งจริงตามวันและเวลาที่ตกลง
    ใช้เวลาติดตั้งเสร็จภายใน 1 วัน
    รับประกันการติดตั้ง 180 วัน หากมีปัญหาจะเข้าดำเนินการแก้ไขให้โดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม


แม้จะเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่การปล่อยให้บ้านร้อนต่อไปโดยไม่แก้ไข ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะมีแต่จะทำให้ทุกคนในบ้านไม่มีความสุข

ยิ่งด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นในรูปแบบที่ต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทำงานที่บ้านมากขึ้น การเร่งแก้ไขปรับปรุงให้บ้านเย็นขึ้น ด้วยการติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool จึงเป็นทางออกที่ตอบโจทย์มากกว่า

4
บริการด้านอาหาร: สุดยอดอาหาร บำรุงหัวใจให้แข็งแรง

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้ แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจให้แข็งแรงด้วย

ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนั่นก็คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ระมัดระวัง ทั้งความเครียดจากการทำงาน หรือแม้แต่อาหารการกินที่เลือกรับประทาน ก็เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารจึงมีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งเราสามารถดูแลตัวเองได้ โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม รับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร รับประทานอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังรับประทานอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอกได้ ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงสุดยอดอาหารที่จะช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนอยากหันมาดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้มีร่างายและสุขภาพที่แข็งแรง

 สำหรับอาหารเป็นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับบำรุงหัวใจให้มีความแข็งแรง ได้แก่อาหารประเภท ถั่วฝักยาว ซึ่งเป็นหนึ่งในพืชตะกูลถั่ว ที่นับว่าเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเลิศที่ไม่มีไขมันเลว จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลงไปได้ถึง 22% รวมถึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนที่เป็นเบาหวานได้อีกด้วย ต่อมาคือ ผลไม้อย่างบีทรูท ที่อุดมไปด้วยไนเตรท ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการสะสมของไขมันและลดการอุดตันในกระแสเลือด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และแน่นอนว่าบีทรูทยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ เพิ่มความแข็งแรงของสุขภาพหัวใจให้ห่างไกลโรค ต่อมาอาหารประเภทเนื้อสัตว์อย่างปลาแซลมอน เป็นแหล่วงโอเมก้า-3 ชั้นดี ที่นอกจากจะช่วยบำรุงสมองเสริมความจำแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ดีอีกด้วย

เพราะในปลาแซลมอนนั้นอุดมไปด้วยกรดดีเอชเอที่มีส่วนช่วยในการลดการติดเชื้อ ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว การเกิดหัวใจวาย และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคความดัน ต่อมาคือ กระเทียม เป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลอย่างดี โดยการช่วยทำลายคอเลสเตอรอลและไขมันที่ติดอยู่กับผนังด้านในของหลอดเลือด และทำให้เกิดความยืดหยุ่น เมื่อเลือดไหลเวียนสะดวก หลอดเลือดแข็งแรง ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ ต่อมาคือ ขนมอย่าง ดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในเรื่องของความดันโลหิต ลดปัจจัยที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด

รวมถึงช่วยลดอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองในคนที่มีความเสี่ยงสูงได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทุกอย่างที่จะดีต่อหัวใจ เพราะช็อกโกแลตที่เราบอกมานั้น จะต้องทำมาจากโกโก้อย่างน้อย 60-70% ต่อมาผลไม่ตระกูลเบอร์รี่ มีประโยชน์ต่อหัวใจมากเช่นกัน ยิ่งถ้าในกลุ่มคนที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ถ้าได้รับประทานผลไม้ตระกูลนี้เป็นประจำ มักพบว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายลงได้ถึง 32% เพราะในผลไม้ตระกูลนี้มีสารแอนโทไซยานินและสารฟลาโวนอยด์ ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ที่ช่วยลดความดันโลหิตและขยายหลอดเลือดหัวใจได้ดี

ต่อมาคือ แปะก๊วย หนึ่งในสมุนไพรชั้นเลิศที่ขึ้นชื่อเรื่องของการบำรุงสมอง ช่วยให้มีความจำดีขึ้น เรียกว่าเป็นยาธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ ใบแปะก๊วยก็ยังมีสรรพคุณในการช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันและลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เพราะถ้าเลือดสาารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดี ก็ถือว่าเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้เหมือนกัน อาหารประเภทสุดท้ายคือ ถั่ววอลนัท ช่วยให้เซลล์บุผนังหลอดเลือดทำงานได้ดี ช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจอีกด้วย

เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคพยาธิปากขอ (Hook worm disease)

โรคพยาธิปากขอเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิปากขอ*ที่อยู่ตามพื้นดิน

โรคนี้พบได้ทุกภาคของประเทศ แต่จะพบในภาคใต้มากกว่าภาคอื่น ๆ มักพบในชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน และเด็ก ๆ ที่เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน หรือในเด็กที่ชอบเล่นคลุกดิน

*วงจรชีวิตของพยาธิปากขอ

พยาธิปากขอ (Ancylostoma duodenale และ Necator americanus) มีขนาดยาวประมาณ 1 ซม. เกาะอาศัยอยู่บนผนังลำไส้ และดูดเลือดจากบริเวณนั้น ไข่พยาธิจะหลุดออกมากับอุจจาระ ซึ่งจะเจริญเติบโตบนพื้นดินที่ชื้นและมีความอุ่น พยาธิตัวอ่อนที่ฟักตัวบนดินจะไชเข้าทางผิวหนังของคนที่เดินผ่านไปมาหรือเด็กที่เล่นคลุกดิน เข้าไปในกระแสเลือด ไปยังหัวใจและปอด จากปอดพยาธิจะเคลื่อนตัวขึ้นมาที่หลอดลมจนถึงคอหอย แล้วจะถูกกลืนลงหลอดอาหารเข้าไปในกระเพาะและลำไส้เล็ก แล้วเจริญเป็นตัวแก่ต่อไปในลำไส้เล็ก นอกจากนี้ ถ้ากินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อ พยาธิอาจไชผ่านเยื่อบุในปากและเข้ากระแสเลือดได้เช่นกัน

สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากพยาธิปากขอตัวอ่อนที่อยู่บนพื้นไชเข้าเท้าของผู้ที่เดินเท้าเปล่า หรือเกิดจากกินพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อที่ปนเปื้อนอาหารหรือน้ำดื่ม

อาการ

เมื่อพยาธิไชเข้าเท้า อาจทำให้มีตุ่มแดงคันที่ผิวหนังในบริเวณนั้น ผู้ป่วยอาจเกาจนเป็นหนอง เมื่อพยาธิเดินทางผ่านปอดใน 1-2 สัปดาห์ต่อมา อาจทำให้มีอาการหลอดลมหรือปอดอักเสบได้

แต่อาการที่พบบ่อย คือ จุกเสียดแน่นที่ยอดอก ปวดท้อง หรือท้องเดิน ถ้ามีจำนวนพยาธิมาก จะทำให้มีอาการซีด มึนงง หน้ามืด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และถ้าซีดมาก ๆ อาจทำให้มีอาการบวมหรือหัวใจวายได้

อาการมากน้อยขึ้นกับจำนวนพยาธิที่มีอยู่ในลำไส้ (อาการซีดจะเกิดขึ้นเมื่อมีพยาธิมากกว่า 100 ตัวขึ้นไป) อายุของพยาธิ ความต้านทาน และภาวะทางโภชนาการของผู้ป่วย

ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบบ่อย คือ โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรัง หากปล่อยปละละเลยจนมีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

อาจทำให้ขาดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาดสารโปรตีน ซึ่งหากขาดโปรตีนรุนแรงอาจทำให้ท้องมาน (มีน้ำในท้อง) ได้

เด็กที่เป็นโรคพยาธิปากขอเรื้อรัง อาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า และสติปัญญาพร่อง เนื่องจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็กเรื้อรัง

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยที่แน่ชัด คือ การตรวจอุจจาระจะพบไข่พยาธิ บางรายแพทย์จะทำการตรวจเลือดดูภาวะโลหิตจาง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้ยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล หรืออัลเบนดาโซล
    ถ้าซีด ให้กินยาบำรุงโลหิตติดต่อกัน 4-6 เดือน
    ในรายที่มีภาวะหัวใจวายจากภาวะโลหิตจางรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้เลือด และให้ยารักษาภาวะหัวใจวาย

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการจุกเสียดแน่นยอดอก ปวดท้อง หรือท้องเดินบ่อย หรือมีอาการอ่อนเพลีย และหน้าตาซีดเซียว ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิปากขอ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
    สวมรองเท้าถ้าต้องเดินบนดิน (ไม่เดินเท้าเปล่า)
    หลีกเลี่ยงการเล่นคลุกบนดินทราย
    ดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด และกินอาหารที่ปรุงสุกและร้อน

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการซีดเนื่องจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ถ้าหากอยู่ในพื้นที่ที่มีพยาธิปากขอชุกชุม นอกจากให้ยาบำรุงโลหิตแล้ว ควรให้ยาฆ่าพยาธิปากขอร่วมด้วย

2. ผู้ที่สงสัยว่าเป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ให้ยาบำรุงโลหิตแล้วไม่ทุเลา ควรตรวจหาว่ามีสาเหตุจากอะไร รวมทั้งการตรวจอุจจาระดูว่าเป็นโรคพยาธิปากขอหรือไม่

6
วิธีขายอาหารออนไลน์โดยไม่ต้องมีหน้าร้านทำอาชีพเสริม ได้กำไรด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง

การขายอาหารออนไลน์โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้เสริมที่น่าสนใจในยุคดิจิทัลนี้ ด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูงมาก และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และรสชาติที่อร่อยถูกปาก ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับและแนวทางในการสร้างรายได้เสริมจากอาหารออนไลน์:

1. เลือกประเภทอาหารที่ใช่:

อาหารตามสั่ง:
ทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่มาก ตอบโจทย์คนทำงานที่ไม่มีเวลาทำอาหาร
อาหารคลีน/อาหารเพื่อสุขภาพ:
ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ มีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน สามารถสร้างแบรนด์และเรื่องราวของร้านได้
ขนมโฮมเมด:
ลงทุนน้อย ใช้อุปกรณ์ในครัวที่มีอยู่แล้ว สามารถสร้างสรรค์เมนูขนมได้หลากหลาย เหมาะสำหรับคนที่มีทักษะการทำขนม
อาหารแปรรูป:
สามารถเก็บรักษาได้นาน มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย สามารถขายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้
อาหารทานเล่น/ของว่าง:
ทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่มาก เหมาะสำหรับขายในตลาดนัด หรือจัดส่งตามออเดอร์

2. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

สูตรลับและเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
วัตถุดิบคุณภาพ:
เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีและสดใหม่ จะช่วยให้รสชาติอาหารอร่อยและถูกปากลูกค้า
บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

3. ใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์:

แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่:
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ที่ได้รับความนิยม เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย และเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
โซเชียลมีเดีย:
สร้างเพจหรือบัญชีบนโซเชียลมีเดีย เพื่อโปรโมทร้านค้า และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เว็บไซต์ (ถ้ามี):
สร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และอำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อ

4. การตลาดออนไลน์:

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงามน่ารับประทาน และทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร
โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ และมอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
รีวิวและคะแนน:
ให้ความสำคัญกับรีวิวและคะแนนจากลูกค้า และตอบคำถามหรือแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็ว

5. การจัดการและบริการ:

การจัดการออเดอร์:
ตรวจสอบออเดอร์อย่างละเอียดและแม่นยำ และเตรียมอาหารให้รวดเร็วและตรงเวลา
การจัดส่ง:
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ และแจ้งสถานะการจัดส่งให้ลูกค้าทราบ
บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

6. เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า:
สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์:
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ:
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารออนไลน์อาจต้องใช้ความอดทนและการปรับตัว แต่ด้วยการวางแผนที่ดีและใส่ใจในคุณภาพ คุณก็สามารถสร้างรายได้เสริมที่มั่นคงได้

7
อาการตับอักเสบ รู้ทันสัญญาณและวิธีการรับมืออย่างเหมาะสม

การสังเกตเห็นอาการตับอักเสบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้รับมือกับโรคตับอักเสบได้เร็วยิ่งขึ้น โดยการรู้จักอาการตับอักเสบจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่อาจตามมา เช่น โรคตับแข็ง มะเร็งตับ รวมถึงภาวะอันตรายอย่างตับวายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อได้รับการรักษาช้าเกินไป

ตับอักเสบเป็นภาวะที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงสาเหตุที่พบบ่อยอย่างการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ การสัมผัสเลือด ปัสสาวะและอุจจาระของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ

อาการตับอักเสบที่หลายคนควรสังเกต

ตับอักเสบอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ตับอักเสบเฉียบพลันและตับอักเสบเรื้อรัง โดยตับอักเสบเฉียบพลันมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ไวรัสตับอักเสบดี และไวรัสตับอักเสบอี โดยอาการตับอักเสบเฉียบพลันมักดีขึ้นได้โดยใช้ระยะเวลาไม่นาน

แต่สำหรับตับอักเสบชนิดเรื้อรัง สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นเวลานาน หรือการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ โดยอาการตับอักเสบเรื้อรังมักเกิดขึ้นนานเกิน 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม อาการตับอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังอาจสังเกตได้จากอาการต่าง ๆ เช่น

    ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือภาวะดีซ่าน
    เป็นไข้
    คลื่นไส้
    อ่อนเพลียหรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
    เบื่ออาหาร
    ปวดท้องด้านบนขวา
    ปัสสาวะมีสีเข้ม
    อุจจาระสีซีดหรืออุจจาระสีเทา
    คันตามผิวหนัง

หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้อาการตับอักเสบรุนแรงขึ้น เช่น ขาบวม ข้อเท้าบวม เท้าบวม รู้สึกสับสน อาเจียนเป็นเลือด และอุจจาระเป็นเลือด ควรไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น

วิธีรับมือเมื่อเกิดอาการตับอักเสบอย่างเหมาะสม

อาการตับอักเสบไม่รุนแรงอาจค่อย ๆ ดีขึ้นได้เองภายใน 3–10 วัน ในระหว่างนี้ผู้ที่มีอาการตับอักเสบสามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้หลายวิธี เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

หากอาการตับอักเสบยังคงไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา ซึ่งวิธีการรักษาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่ชนิดของภาวะตับอักเสบ เช่น

    ยาต้านไวรัสต่าง ๆ หากมีอาการตับอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี
    ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกัน หากอาการตับอักเสบเกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ
    การปลูกถ่ายตับ หากมีอาการตับวายหรือมะเร็งตับจากภาวะตับอักเสบเรื้อรัง

นอกจากนี้ การป้องกันภาวะตับอักเสบก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ โดยวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพคือการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดโรค เช่น ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร ใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอดีและไม่มากเกินไป

8
หมอออนไลน์: หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aortic aneurysm)

เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดบางส่วนมีความอ่อนแอ ถูกแรงดันเลือดดันให้โป่งออกคล้ายลูกโป่ง พบมากในกลุ่มอายุ 50-80 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า

ผนังหลอดเลือดส่วนที่โป่งพอง ส่วนใหญ่มักเกิดในส่วนที่อยู่ในช่องท้องในระดับที่ต่ำกว่าจุดแยกของหลอดเลือดแดงไต (renal artery) เรียกว่า "หลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนท้องโป่งพอง (abdominal aortic aneurysm)" ส่วนน้อยเกิดในส่วนที่อยู่ในช่องอกใกล้หัวใจ เรียกว่า "หลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนอกโป่งพอง (thoracic aortic aneurysm)"

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เนื่องจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ส่วนน้อยอาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ การอักเสบ (aortitis) ซิฟิลิส หรือกลุ่มอาการมาร์แฟน (Marfan syndrome ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้เนื้อเยื่อมีความอ่อนแอ) ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติสูบบุหรี่

อาการ

ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง มักตรวจพบโดยบังเอิญขณะแพทย์ทำการตรวจร่างกายด้วยสาเหตุอื่น ๆ

สำหรับผู้ที่เป็นหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนท้องโป่งพอง บางรายอาจรู้สึกมีอะไรเต้นอยู่ในท้อง (บริเวณใต้สะดือ) หรือมีอาการปวดลึก ๆ ที่หลัง

สำหรับผู้ที่เป็นหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนอกโป่งพอง อาจรู้สึกมีอาการเต้นในทรวงอกหรือปวดหลังด้านบน หากมีขนาดโตอาจเบียดกดอวัยวะข้างเคียง ทำให้มีอาการไอ หรือมีเสียงวี้ด (กดถูกหลอดลม) ไอเป็นเลือด (หลอดลมกร่อน) กลืนลำบาก (กดถูกหลอดอาหาร) หรือเสียงแหบ (กดถูกประสาทที่เลี้ยงกล่องเสียง)

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าหลอดเลือดที่โป่งพองมีขนาดมากกว่า 5 ซม. อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแตก มีเลือดตกในจนเกิดภาวะช็อกถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการแรกเริ่มถ้าเกิดในช่องท้องจะมีอาการปวดรุนแรงที่ท้องน้อยและหลัง และมีอาการกดเจ็บ ถ้าเกิดในช่องอกจะมีอาการปวดรุนแรงที่หลังด้านบนและแผ่ลงด้านล่าง อาจมีอาการเจ็บหน้าอกและแขนคล้ายโรคหัวใจขาดเลือด ต่อมาจะมีภาวะช็อก คือ เหงื่อออก ตัวเย็น ซีด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันต่ำ

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดภาวะลิ่มเลือด (thrombosis) เกาะที่ผนังหลอดเลือดที่โป่งพอง และหลุดลอยไปอุดกั้นหลอดเลือดอื่น ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดได้

ผู้ป่วยโรคนี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ตามมาได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการและการตรวจพบมีก้อนเต้น (ตามจังหวะชีพจร) อยู่ในท้องบริเวณใต้สะดือ หรือใช้เครื่องฟังได้ยินเสียงฟู่ (bruit) ตรงบริเวณกึ่งกลางท้อง (ใกล้สะดือ)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ หรือถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบว่าหลอดเลือดที่โป่งพองมีขนาดกว้างน้อยกว่า 5 ซม. มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แพทย์จะให้ยาลดความดัน (ถ้าพบว่ามีความดันโลหิตสูง) และคอยติดตามตรวจดูการขยายตัวของหลอดเลือดที่โป่งพองทุก 3-6 เดือน

2. ถ้าพบว่าหลอดเลือดที่โป่งพองมีขนาดมากกว่า 5 ซม. ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแตก แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไข หลังผ่าตัดผู้ป่วยร้อยละ 60-80 สามารถมีชีวิตอยู่รอดเกิน 5 ปีขึ้นไป แต่ร้อยละ 5-10 อาจมีการโป่งพองของหลอดเลือดขึ้นมาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงได้อีก

3. ในรายที่เกิดการแตกของผนังหลอดเลือด แพทย์จะต้องทำการผ่าตัดโดยเร่งด่วน ซึ่งมีอัตราตายค่อนข้างสูง

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น รู้สึกมีอะไรเต้นอยู่ในท้อง (บริเวณใต้สะดือ) หรือมีอาการปวดลึก ๆ ที่หลัง หรือรู้สึกมีอาการเต้นในทรวงอกหรือปวดหลังด้านบน หรือ มีอาการไอ ไอเป็นเลือด หายใจมีเสียงดังวี้ด กลืนลำบาก หรือ เสียงแหบเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ โดยการป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ
3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4. ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติสูบบุหรี่ คนกลุ่มนี้ควรให้แพทย์ตรวจเช็กว่ามีหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองหรือไม่

2. ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ควรติดตามรักษากับแพทย์ และถ้าอยู่ ๆ เกิดมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ปวดท้องรุนแรง หรือปวดหลังรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วน เพราะอาจเป็นอาการผนังหลอดเลือดแดงใหญ่แตกได้

9
วัดโพธิทอง บางมด กรุงเทพ สายมู ทำบุญขอพร พญาครุฑ ชมพุทธศิลป์

วัดโพธิ์ทอง บางมด กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมสำหรับสายมูที่ต้องการทำบุญและขอพร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ พญาครุฑ ค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถชมพุทธศิลป์ที่งดงามภายในวัดได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโพธิ์ทอง บางมด:

ที่ตั้ง: ถนนพระราม 2 ซอย 25 (ซอยวัดโพธิ์ทอง) แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร

จุดเด่น:

พญาครุฑ: วัดโพธิ์ทองเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของพญาครุฑ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ บารมี และความคุ้มครอง ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการงาน การเลื่อนตำแหน่ง การค้าขาย และการขจัดอุปสรรคต่างๆ

พุทธศิลป์: ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมและศิลปะที่สวยงามให้ได้ชม รวมถึงพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

พิธีไหว้ครุฑ: ทางวัดมักจะจัดพิธีไหว้ครุฑเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงวันสำคัญต่างๆ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทางวัดได้

ความเชื่อ: การบูชาพญาครุฑเชื่อว่าจะช่วยเสริมบารมี อำนาจ ป้องกันภูตผีปีศาจ และนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต


การเดินทาง:

รถยนต์ส่วนตัว: สามารถเดินทางเข้าซอยวัดโพธิ์ทอง (พระราม 2 ซอย 25) ได้

รถสาธารณะ: มีรถประจำทางผ่านถนนพระราม 2 และสามารถต่อรถเข้าไปในซอยได้

หากคุณเป็นสายมูที่ศรัทธาในพญาครุฑ หรือต้องการเสริมดวงในด้านอำนาจ บารมี และความคุ้มครอง วัดโพธิ์ทอง บางมด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดค่ะ

10
เครื่องมือกันฟันล้ม สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้เท่าการจัดฟันเด็กหรือไม่
 
การจัดฟันในเด็ก เป็นการแก้ไขปัญหาในเด็กที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กไทยส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม เพราะเด็กชอบรับประทานอาหารที่มีความหวาน เช่น ขนม คุกกี้และลูกอมต่างๆ รวมไปถึงน้ำหวาน ซึ่งเป้นอาหารที่ทำให้เกิดฟันผุ และยิ่งถ้าไม่ได้รับดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี แน่นอนว่า จะทำให้เกิดฟันผุได้อย่างแน่นอน เด็กบางคนเกิดฟันผุตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม ซึ่งการที่ฟันน้ำนมหลุดก่อนวัยอันควรนั้น ส่งผลต่อลักษณะของการขึ้นของฟันแท้


ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันล้ม ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้น สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์ ซึ่งทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก็จะทำการแนะนำให้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ถ้าหากเด็กมีปัญหาฟันล้ม ทันตแพทย์อาจจะแนะนำได้ใช้เครื่องมือกันฟันล้ม ซึ่งต้องบอกว่า สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน พ่อแม่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักกับเครื่องมือกันฟันล้ม ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเครื่องมือกันฟันล้มว่าเป้นอย่างไร และเครื่องมือกันฟันล้มนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กเทียบเท่ากับการจัดฟันในเด็กหรือไม่
 
ก่อนอื่นเราจะมาแนะนำเกี่ยวกับเครื่องมือกันฟันล้มก่อนสำหรับเครื่องมือกันฟันล้มนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โดยปกติฟันแท้ที่จะขึ้นมาแทนฟันกรามน้ำนมในช่วงอายุ 11-12 ปี หากต้องถอนฟันกรามน้ำนมไปก่อนเวลาฟันแท้ขึ้นมากกว่า 1 ปี เด็กควรจะใส่เครื่องมือกันฟันล้ม เพื่อป้องกันปัญหาฟันแท้ขึ้นไม่ได้ ซึ่งตัวเครื่องมือกันฟันล้ม มีลักษณะเป็นวงแหวนสีเงินสวมลงบนฟัน และมีลวดเล็กๆดัดโค้งมาแตะฟันซี่ด้านหน้าเพื่อค้ำยันไว้ไม่ให้ฟันขยับเข้าหากัน อาจเป็นเพียงชิ้นเล็กๆข้างเดียว หรือเป็นแบบสองข้างซ้ายขวา
ก็จะขึ้นกับจำนวนฟันและตำแหน่งฟันน้ำนมที่ถูกถอนไป เครื่องมือนี้ทำได้ไม่ยาก และไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเลย เพราะไม่มีแรงใดๆกระทำต่อตัวฟัน ตัวแหวนสีเงินยึดกับฟันด้วยวัสดุทันตกรรม


ซึ่งเด็กจะถอดออกเองไม่ได้ แต่ถอดได้โดยเครื่องมือของทันตแพทย์เท่านั้น แต่เครื่องมือกันฟันล้มก็จะมีด้วยกัน 2รูปแบบ คือแบบถอดเองได้ กับแบบติดแน่น โดยจะทำงานช่วยรักษาระยะห่างระหว่างฟันเอาไว้ไม่ให้ลดลงหรือหายไปเพื่อให้ฟันแท้ในตำแหน่งนั้นสามารถขึ้นได้ โดยมีทั้งที่ทำจากโลหะและอะคริลิก ช่วยรักษาช่องว่าง ช่วยให้ฟันแท้ขึ้นได้และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ป้องกันปัญหาฟันเกหรือฟันขึ้นผิดที่ได้

หากถามว่า การใส่เครื่องมือกันฟันล้ม กับการเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น แบบไหนดีกว่า อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัญหาฟันของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากถามว่า เครื่องมือกันฟันล้ม สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้เท่ากับการจัดฟันในเด็กหรือไม่ อันนี้ต้องบอกว่า ในแง่ของการแก้ไขปัญหาฟันในเด็ก การเข้ารับการจัดฟันจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้หลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาฟัน ปัญหากล้ามเนื้อใบหน้า และสามาช่วยปรับตำแหน่งลิ้นได้ด้วย ซึ่งการจัดฟันในเด็ก จะแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า สำหรับการปัญหาฟันของเด็ก และยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถาวรด้วย
 
นอกจากนี้ ข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ยังช่วยทำให้เด็กออกเสียงได้ชัดขึ้น สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้นซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือ ข้อดีที่มาพร้อมกับการจัดฟันในเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังคิดไม่ถึงว่าการจัดฟันในเด็กนั้นมีประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านมากเลยทีเดียว


สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก จากประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรมทำให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

11
การคำนวณขนาดของท่อลมร้อน: กุญแจสำคัญสู่ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ

การคำนวณขนาดของท่อลมร้อนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการออกแบบระบบระบายอากาศ เพราะขนาดของท่อที่เหมาะสมจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการดูดอากาศและกำจัดสิ่งปนเปื้อน หากขนาดท่อเล็กเกินไป อากาศจะไหลช้าและอาจเกิดการอุดตันได้ หากขนาดท่อใหญ่เกินไป จะสิ้นเปลืองพลังงานและอาจทำให้เกิดเสียงดัง

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการคำนวณขนาดท่อลม

ปริมาณอากาศ: ปริมาณอากาศที่ต้องการดูดออกจะขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่, ชนิดของงานที่ทำ และปริมาณของสิ่งปนเปื้อน
ความเร็วของอากาศ: ความเร็วของอากาศภายในท่อจะส่งผลต่อการสูญเสียแรงดันและเสียงดัง
ความยาวของท่อ: ความยาวของท่อจะส่งผลต่อการสูญเสียแรงดัน
จำนวนโค้ง: จำนวนโค้งของท่อจะส่งผลต่อการสูญเสียแรงดัน
วัสดุของท่อ: วัสดุของท่อจะส่งผลต่อความต้านทานการไหลของอากาศ

วิธีการคำนวณขนาดท่อลม
การคำนวณขนาดท่อลมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรม แต่โดยทั่วไปจะใช้หลักการดังนี้

คำนวณปริมาณอากาศ: คำนวณปริมาณอากาศที่ต้องการดูดออกจากพื้นที่นั้นๆ โดยพิจารณาจากขนาดของพื้นที่, ความสูงของเพดาน, และปริมาณของสิ่งปนเปื้อน
เลือกขนาดท่อ: เลือกขนาดของท่อให้เหมาะสมกับปริมาณอากาศที่คำนวณได้ โดยพิจารณาจากความเร็วของอากาศที่ต้องการ
คำนวณความยาวของท่อ: คำนวณความยาวของท่อทั้งหมด รวมถึงส่วนโค้งต่างๆ
คำนวณการสูญเสียแรงดัน: คำนวณการสูญเสียแรงดันที่เกิดจากความยาวของท่อ จำนวนโค้ง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้ง
เลือกพัดลม: เลือกพัดลมที่มีกำลังเพียงพอที่จะสร้างแรงดันเพื่อเอาชนะการสูญเสียแรงดันในระบบท่อ
โปรแกรมช่วยคำนวณขนาดท่อลม
ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์หลายโปรแกรมที่ช่วยในการคำนวณขนาดท่อลมได้อย่างแม่นยำ เช่น AutoCAD, Revit, และโปรแกรมเฉพาะทางด้านระบบระบายอากาศ โปรแกรมเหล่านี้จะช่วยให้วิศวกรสามารถออกแบบระบบระบายอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง

การคำนวณขนาดท่อลมควรทำโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ
การออกแบบระบบระบายอากาศควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความสวยงาม
ควรเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน

สรุป

การคำนวณขนาดของท่อลมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรม การเลือกใช้โปรแกรมช่วยคำนวณจะช่วยให้การออกแบบระบบระบายอากาศมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากคุณต้องการออกแบบระบบระบายอากาศสำหรับโรงงาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

12
บริการด้านอาหาร: อาหารที่ช่วยเสริมเส้นใยอาหาร ดีต่อสุขภาพ!

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ คือพื้นฐานในการดูแลสุขภาพที่ดี เพราะจะทำให้เราห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งอาหารถือว่ามีความสำคัญต่อร่างกาย ในการสร้างพลังงานให้เราสามารถทำงานได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกัน อาหารที่เรารับประทานเข้าไป ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ แต่ก็สามารถให้โทษเราได้เช่นเดียวกัน หากเรารับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป เกินต่อความจำเป็นของร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมจนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้

ดังนั้น วันนี้จะมาพูดถึงอาหารที่มีประโยชน์ จำพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารที่สูงและดีต่อสุขภาพ ซึ่งเส้นใยอาหาร ถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารเพื่อสุขภาพ ที่จะช่วยให้การทำงานของระบบย่อยอาหารเป็นไปอย่างสมบูรณ์ แต่คนส่วนใหญ่รับประทานเส้นใยอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการ และเส้นใยอาหารมีความจำเป็นต่อระบบย่อยอาหาร เมื่อเส้นใยอาหารผ่านไปตามลำไส้ก็จะดูดซึมน้ำจำนวนมากเพื่อทำให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มและขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ง่าย นอกจากนี้ ยังพบว่าเส้นใยอาหารบางชนิดสามารถให้พลังงานได้ในปริมาณเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายแต่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากเลยทีเดียว

สำหรับอาหารที่มีใยสูงส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพืช เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ถั่ว ถั่วฝักยาว และเมล็ดพืช เพื่อที่จะให้ได้ปริมาณขั้นต่ำขณะที่ได้ลองอาหารมีคุณค่าหลากหลายประเภททุกวัน ให้หันมาลองรับประทานอาหาร ที่มีใยสูงในแต่ละมื้อกัน เช่นข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตเป็นอาหารทั่วไปที่ราคาถูกและมีใยอาหารมาก ต่อมาคือ ประเภทผักใบเขียว เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารที่รับประทานได้ทุกวัน หากเริ่มรับประทานผักใบเขียวทีละนิดๆ ไม่ว่าจะเป็นบรอคโคลี ผักโขมหรือกะหล่ำปลี นอกจากจะได้ใยอาหารมากแล้ว ผักเหล่านี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารต่างๆ อีกด้วย ต่อมาคือ เมล็ดถั่ว ที่อัดแน่นไปด้วยไขมันที่ดี มีใยอาหาร และโปรตีน

นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีอีกด้วย ต่อมาคือ ขนมปังโฮลเกรน ไม่ว่าจะเป็นแบบข้าวไรย์ มัลติเกรน ผสมเมล็ดธัญพืชหรือโฮลมีลก็ล้วนแต่มีใยอาหารสูงและทำให้คุณอิ่มท้องได้ และต่อมาคือ ผลไม้ นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะรักษาปริมาณใยอาหารในแต่ละวัน และถ้าเป็นไปได้ให้รับประทานเปลือกด้วย เช่น เปลือกแอปเปิลหรือแพร์ ซึ่งล้วนเป็นแหล่งใยอาหารชั้นยอดที่เต็มไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ แต่เราไม่จำเป็นต้องคำนวณปริมาณเส้นใยอาหารในอาหารทุกจานที่เรารับประทาน แค่เพียงเลือกรับประทานอาหารที่ทำจากแป้งที่ไม่ขัดสี รับประทานผักและผลไม้ แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน และหากต้องการเพิ่มอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากขึ้นก็ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารปริมาณมากในทันที เพราะอาจทำให้จุกเสียด แน่นท้อง ปวดท้องได้ ควรเริ่มรับประทานจากจำนวนน้อยและค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

เพื่อให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้ปรับตัว และควรดื่มน้ำให้เพียงพอเนื่องจากเส้นใยอาหารจะดูดน้ำในระบบขับถ่าย ดังนั้น หากรับประทานเฉพาะอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงแต่ดื่มน้ำน้อยก็ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ แต่อย่างไรก็ตาม ใยอาหารยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล จึงมีผลดีต่อผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะสามารถช่วยลดระดับกลูโคสและอินซูลินได้ ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ช่วยจับไขมันในอาหาร ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ใยอาหารชนิดละลายน้ำสามารถช่วยลดระดับโททัลและแอลดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้น เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเอง ดื่มน้ำมากๆ และต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของสุขภาพร่างกายของเราเพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

13
พูดคุยเรื่องทั่วไป / หมอออนไลน์: ถุงน้ำดีอักเสบ
« เมื่อ: วันที่ 9 กรกฎาคม 2025, 15:54:00 น. »
หมอออนไลน์: ถุงน้ำดีอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบ หมายถึง ภาวะที่ถุงน้ำดีมีการอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาวะแทรกซ้อนของนิ่วน้ำดี (นิ่วในถุงน้ำดี) ดังนั้น จึงพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นนิ่วน้ำดี และพบได้บ่อยที่สุดในช่วงอายุ 50-69 ปี

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้และปวดท้องเกิดขึ้นฉับพลันทันที เรียกว่า "ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (acute cholecystitis)" ซึ่งมักมีอาการปวดท้องรุนแรง นับว่าเป็นโรคที่รุนแรงที่ต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลอย่างรีบด่วน เนื่องเพราะหากปล่อยไว้หรือได้รับการรักษาที่ล่าช้า อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ส่วนน้อยอาจมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่ชัดเจน และมักไม่ได้ถูกวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง เรียกว่า "ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง (chronic cholecystitis)" ซึ่งการอักเสบที่เกิดขึ้นซ้ำซาก จะทำให้ผนังถุงน้ำดีหนาตัว ไม่สามารถขยายตัวและบีบตัวได้เป็นปกติ และหากปล่อยไว้ อาจกลายเป็นถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

ถุงน้ำดีอักเสบพบมากในกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน) ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงสูง

สาเหตุ

ถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนใหญ่มักเป็นภาวะแทรกซ้อนของนิ่วน้ำดี (นิ่วในถุงน้ำดี) หรือตะกอนในถุงน้ำดี (gall bladder sludge)  เนื่องจากนิ่วหรือตะกอนหลุดออกจากถุงน้ำดีลงมาอุดตันบริเวณปากถุงน้ำดี (cystic duct) ทำให้ถุงน้ำดีมีแรงดันเพิ่มขึ้นและมีการขยายตัว ทำให้เยื่อบุผนังของถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นผลให้เกิดการอักเสบ และบางรายอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น อีโคไล เคล็บซิลลา สเตรปโตค็อกคัส  สแตฟีโลค็อกคัส เป็นต้น) ร่วมด้วย

มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้เกิดจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดี แต่เกิดเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ อาทิ  โรคติดเชื้อ (เช่น เอดส์ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ เป็นต้น), ภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี (จากเนื้องอกในช่องท้อง หรือจากการตีบตันของท่อน้ำดีที่เกิดความผิดปกติ), การผ่าตัดในช่องท้อง, การบาดเจ็บรุนแรง หรือบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก, ภาวะขาดอาหารรุนแรง, การเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่กระทบต่อถุงน้ำดี หรือเกิดการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงถุงน้ำดีทำให้ถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นต้น มักพบในผู้ป่วยที่สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีการเจ็บป่วยหนัก นอนรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก มีภาวะช็อก หัวใจล้มเหลว หรือโลหิตเป็นพิษ หรือแพทย์ให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ (parenteral nutrition) เป็นเวลานาน สันนิษฐานว่าปัจจัยเหล่านี้ทำให้ถุงน้ำดีบีบตัวได้น้อย และน้ำดีซึ่งมีความเข้มข้น (เนื่องจากมีไข้สูงจากโรคที่เป็นสาเหตุ และภาวะขาดน้ำ) คั่งค้างอยู่ในถุงน้ำดีนาน ทำให้ถุงน้ำดีมีแรงดันเพิ่มขึ้น และเยื่อบุผนังของถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นผลให้ถุงน้ำดีอักเสบ*

*ถุงน้ำดีอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดี (acalculous cholecystitis) พบได้ราวร้อยละ 5-10 ของผู้ที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบทั้งหมด ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ส่วนมากจะเกิดอาการถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (มีไข้สูงและปวดท้องรุนแรง) แต่มีความรุนแรง (คือมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ได้แก่ ถุงน้ำดีมีเนื้อตายเน่า และถุงน้ำดีแตกทะลุ) และมีอัตราตายมากกว่าถุงน้ำดีอักเสบที่เกิดจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดี (calculous cholecystitis) แพทย์จะทำการรักษาแบบเดียวกับถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน

อาการ

ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมีการอักเสบเกิดขึ้นฉับพลันทันที ด้วยอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา เวลาหายใจลึก ๆ จะปวดเจ็บมากขึ้น  และมักมีอาการกดเจ็บ (ใช้มือกดตรงบริเวณที่ปวดจะรู้สึกเจ็บมาก) อาจมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ขวา ใต้สะบักขวาหรือ ตรงกลางหลัง นอกจากนี้ อาจมีอาการท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

อาการมักเกิดหลังกินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารมัน ๆ และจะมีอาการปวดท้องตลอดเวลาต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้รับการรักษา

บางรายอาจมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น) และอุจจาระสีซีดขาว เนื่องจากน้ำดีถูกอุดกั้น ระบายสู่ลำไส้ไม่ได้ และย้อนเข้ากระแสเลือด

ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ซึ่งอาการจะกำเริบเมื่อนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดีเคลื่อนตัวไปอุดตันปากถุงน้ำดี ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องแบบเล็กน้อยตรงใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ขวา ใต้สะบักขวา หรือตรงกลางหลัง และอาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ คลื่นไส้ อาเจียน อาการมักเป็นในเวลาตอนเย็นหรือกลางคืน หรือหลังจากกินอาหารมัน ๆ อาการปวดท้องที่เป็นเพียงเล็กน้อยตรงชายโครงขวาและใต้ลิ้นปี่ มักทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย

อาการปวดท้องแต่ละครั้งจะเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วก็จะหายไปได้เองอยู่ระยะหนึ่ง (เนื่องจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดีเคลื่อนตัวหลุดออกจากปากถุงน้ำดี ทำให้การอุดตันนั้นคลายไป) ต่อมาอีกสักระยะหนึ่ง เมื่อเกิดการอุดตันกลับมาอีก อาการก็จะกลับมากำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยอาจมีอาการแรงขึ้นหรือบ่อยขึ้น

บางรายในเวลาต่อมาอาจมีอาการของถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องรุนแรง) หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เกิดขึ้นได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่

    ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี (empyema of gallbladder) ซึ่งเกิดจากน้ำดีในถุงน้ำดีเกิดการติดเชื้อ กลายเป็นหนองขังอยู่ในถุงน้ำดี อาจทำให้เกิดภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (septic shock) เป็นอันตรายได้
    ถุงน้ำดีเป็นเนื้อตายเน่า (gangrene of gallbladder) ซึ่งเกิดจากผนังถุงน้ำดีที่อักเสบเกิดการบวมและขยายตัว ทำให้ขาดเลือดและเนื้อเยื่อตาย ถุงน้ำดีเกิดการแตกทะลุ เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบและหนองในช่องท้อง เชื้อเข้ากระแสเลือด กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายได้
    ถุงน้ำดีที่มีภาวะพองลม (emphysematous cholecystitis) เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงถุงน้ำดีแข็งและตีบตัว ทำให้ถุงน้ำดีขาดเลือด เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่สร้างก๊าซ (gas forming organism เช่น กลุ่มเชื้อคลอสตริเดียม อีโคไล เป็นต้น) ทำให้เกิดการสะสมของก๊าซ (การพองลม) ในผนังถุงน้ำดีและภายในของถุงน้ำดี เป็นภาวะที่พบได้น้อย พบบ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้ ซึ่งมีอัตราตายสูง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเนื้อตายเน่าและการแตกทะลุของถุงน้ำดี
    ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่อาจพบได้ เช่น ภาวะโลหิตเป็นพิษ (เชื้อเข้ากระแสโลหิต) ตับอ่อนอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ ตับอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง อาจพบภาวะแทรกซ้อน ได้แก่

    มีอาการของถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง และอาจมีผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงดังกล่าวข้างต้น
    ลำไส้อุดกั้น (small bowel obstruction) เนื่องจากเกิดทางทะลุ (fistula) ระหว่างถุงน้ำดีกับลำไส้เล็ก นิ่วในถุงน้ำดีหลุดเข้าไปอุดกั้นในลำไส้เล็ก ทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืดแน่นรุนแรง เรียกว่า "ภาวะลำไส้อุดกั้นจากนิ่วน้ำดี (gallstone ileus)"
    ท่อน้ำดีเกิดการอุดกั้น จากการกดเบียดของพังผืดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการอักเสบเรื้อรังของถุงน้ำดี ทำให้เกิดภาวะดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น และอุจจาระสีซีดขาว) และอาจเกิดการติดเชื้อ ทำให้ท่อน้ำดีอักเสบแทรกซ้อนได้
    การอักเสบเรื้อรังของถุงน้ำดี อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของถุงน้ำดีมากกว่าปกติ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกาย ในผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันมักพบว่ามีไข้ กดเจ็บมากตรงใต้ชายโครงขวาหรือใต้ลิ้นปี่ บางรายอาจตรวจพบอาการตาเหลืองตัวเหลือง

ส่วนในผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง จะไม่พบว่ามีไข้ หรืออาการตาเหลืองตัวเหลือง และอาจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจนอื่น ๆ ยกเว้นบางรายอาจตรวจพบอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (abdominal ultrasound) และการตรวจเลือด (ในถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ และการทำงานของตับผิดปกติ) เป็นหลัก ในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต (โลหิตเป็นพิษ) แพทย์จะทำการเพาะเชื้อจากเลือด (blood culture) และทดสอบความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะ

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น การตรวจระบบทางเดินอาหารโดยการส่องกล้องที่ติดอัลตราซาวนด์ (endoscopic ultrasound) การถ่ายภาพรังสีตรวจถุงน้ำดีโดยการกินสารทึบรังสี (oral cholecystography) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจสแกนตับและทางเดินน้ำดี (hepatobiliary scan) การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยให้ผู้ป่วยงดน้ำและอาหารเพื่อให้ถุงน้ำดีได้พัก และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ให้ยาบรรเทา (เช่น แก้ปวด แก้ไข้ แก้คลื่นไส้อาเจียน)

2. ให้ยาปฏิชีวนะ รักษาการติดเชื้อ ซึ่งมักจะให้ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำเป็นหลัก

3. ทำการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงน้ำดีอักเสบกำเริบซ้ำ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งจะพิจารณาทำการผ่าตัดในเวลาที่เหมาะสม ยกเว้นในรายที่มีภาวะที่รุนแรง (เช่น ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีมีเนื้อตายเน่า ภาวะโลหิตเป็นพิษ) หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลเท่าที่ควร แพทย์ก็จะทำการผ่าตัดแบบรีบด่วน

การผ่าตัด แพทย์จะเลือกวิธีผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง (laparoscopic cholecystectomy) หรือผ่าตัดถุงน้ำดีแบบเปิดหน้าท้อง (open cholecystectomy) โดยพิจารณาตามสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย

ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดถุงน้ำดี แพทย์จะใช้วิธีผ่าระบายถุงน้ำดี (cholecystostomy) โดยทำการเปิดถุงนํ้าดีผ่านทางหน้าท้อง เพื่อระบายเอาหนองหรือน้ำดีออกทางท่อต่อสายยางที่เย็บติดกับทางเปิดนั้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ได้ผลดี ร่างกายฟื้นตัวหายได้เป็นปกติ

ส่วนน้อยอาจมีความยุ่งยากในการรักษา หรือเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต ซึ่งมักจะพบในผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีมีเนื้อตายเน่า เชื้อเข้ากระแสโลหิตหรือโลหิตเป็นพิษ), มีภาวะดื้อต่อยาที่รักษา, หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง ตับแข็ง เป็นต้น)

ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบไม่รีบด่วน คือนัดหมายให้ทำในเวลาที่สะดวกและมีการเตรียมความพร้อม ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง การผ่าตัดถุงน้ำดีนอกจากจะได้ผลดีและปลอดภัยแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้ได้รับอันตรายจากการเกิดถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อีกด้วย

สำหรับผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังบางคนที่ยังไม่สะดวกหรือไม่พร้อมที่จะรับการผ่าตัด หากร่างกายยังแข็งแรงดี หรือมีอาการยังไม่มาก แพทย์จะทำการติดตามดูอาการเป็นระยะ และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูงเพื่อไม่ให้อาการกำเริบบ่อย

การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นถุงน้ำดีอักเสบ เช่น มีไข้และปวดท้องรุนแรงตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา หรือมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ซึ่งกินยารักษาโรคกระเพาะไม่ได้ผล หรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    ผู้ป่วยที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังที่ยังไม่ได้ผ่าตัด ซึ่งแพทย์นัดติดตามดูอาการเป็นระยะนั้น ควรปฏิบัติ ดังนี้

- ทำงาน และออกกำลังกายได้เป็นปกติ แต่ไม่ให้หักโหมมากเกินไป
- กินอาหารให้ตรงเวลา ไม่ควรอดอาหาร
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ หนังสัตว์ น้ำมันหมู มันหมู  หมูสามชั้น หมูกรอบ ขาหมู ข้าวมันไก่ เนื้อวัวติดมัน หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอก เนย ครีม กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง อาหารทะเล (เช่น หอยแครง หอยนางรม ปลาหมึก) อาหารทอด (เช่น แคบหมู หมูทอด ไก่ทอด กล้วยแขก ปาท่องโก๋ มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบทอด) เป็นต้น
- กินผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชให้มาก ๆ
- งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา
- ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หรือปวดท้องบ่อย มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด (โดยไม่ตั้งใจ) หรือมีความวิตกกังวล

    ผู้ป่วยที่กลับจากโรงพยาบาลหลังผ่าตัด

- ควรพักฟื้น และหลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือยกของหนักจนกว่าจะฟื้นตัวเป็นปกติ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- ดูแลรักษาแผลผ่าตัดตามที่แพทย์แนะนำ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารโปรตีนให้มาก เช่น นมพร่องมันเนย ไข่ขาว เนื้อปลา เต้าหู้ ถั่วเหลือง เป็นต้น
- กินอาหารที่ย่อยง่าย วันละ 5-6 มื้อ แต่ละมื้อลดปริมาณลงเหลือครึ่งหนึ่งของปกติ (จากที่เคยกินวันละ 3 มื้อ)
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง และอาหารที่ทำให้ท้องอืดแน่น หรือท้องเดิน
- กินผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชให้มาก ๆ
- ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าแผลอักเสบ, หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินมาก ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด (โดยไม่ตั้งใจ), หรือถ้ากินยาที่แพทย์สั่งให้แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)

การป้องกัน

1. หาทางป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วน้ำดี โดยปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

    รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินหรือเป็นโรคอ้วน
    ถ้าต้องการลดน้ำหนักตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ไม่ลดเร็วเกินไป เนื่องเพราะการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี
    กินอาหารให้ตรงเวลา ไม่ข้ามมื้ออาหาร หรืออดอาหาร
    ลดอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
    กินอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช
    ออกกำลังกายเป็นประจำ

2. ผู้ที่แพทย์ตรวจพบว่าเป็นนิ่วน้ำดี ควรรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีตามที่แพทย์แนะนำ

ข้อแนะนำ

1. ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (มีอาการไข้และปวดท้องรุนแรงตลอดเวลา) ซึ่งพบได้บ่อยกว่าถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง (มีอาการปวดท้องที่ไม่ค่อยชัดเจนและไม่รุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย) นับว่าเป็นภาวะที่ค่อนข้างร้ายแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็ว หากมีอาการสงสัย ควรไปพบแพทย์ภายใน 6 ชั่วโมง การไปพบแพทย์ล่าช้าเกินไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษาหรือเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ

2. ผู้ที่มีอาการปวดตรงใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวาแบบไม่รุนแรง หรือมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อบ่อย โดยที่สุขภาพทั่วไปเป็นปกติดี และมักมีอาการหลังกินอาหาร เป็น ๆ หาย ๆ คล้ายอาการของโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย มักจะเข้าใจว่าเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร (เช่น กรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารอักเสบ) ถ้าลองกินยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะแล้วอาการไม่ทุเลา หรือมีอาการเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการของถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติเป็นนิ่วน้ำดีแบบไม่มีอาการ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน คนอ้วน เป็นต้น)

3. เมื่อตรวจพบว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบ แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกไป หลังผ่าตัดใหม่ ๆ ผู้ป่วยบางคนอาจมีปัญหาการย่อยไขมันได้ ทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน หรือถ่ายเหลวบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัว ทำให้อาการทุเลาไปได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ ระหว่างที่มีอาการ แนะนำให้ผู้ป่วยงดกินอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารที่ทำให้ท้องอืดแน่น หรือท้องเดิน ควรกินผัก ผลไม้ และธัญพืชให้มาก ๆ

14
โรคโควิด-19 แพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร?

โรคโควิด-19 แพร่กระจายเชื้อหลักๆ ผ่าน ละอองฝอยและละอองลอยจากระบบทางเดินหายใจ ของผู้ติดเชื้อ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาเมื่อผู้ป่วยไอ จาม พูดคุย หรือหายใจ

นี่คือกลไกการแพร่กระจายหลักๆ:


การแพร่เชื้อผ่านละอองฝอย (Droplet Transmission):

นี่เป็นช่องทางการแพร่เชื้อหลักและพบบ่อยที่สุด

เมื่อผู้ติดเชื้อไอ จาม หรือพูดคุย จะมีละอองฝอยขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่า 5 ไมครอน) ที่มีเชื้อไวรัสปะปนออกมา

ละอองฝอยเหล่านี้มีน้ำหนัก ทำให้ตกลงสู่พื้นผิวในระยะใกล้ๆ (ประมาณ 1-2 เมตร) อย่างรวดเร็ว

บุคคลอื่นสามารถติดเชื้อได้เมื่อหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อเข้าไปโดยตรง หรือเมื่อละอองฝอยกระเด็นเข้าสู่เยื่อบุตา จมูก หรือปาก


การแพร่เชื้อผ่านละอองลอย (Aerosol Transmission / Airborne Transmission):

นอกเหนือจากละอองฝอยขนาดใหญ่แล้ว ผู้ติดเชื้อยังสามารถปล่อยละอองลอยขนาดเล็กมากๆ (เล็กกว่า 5 ไมครอน) ออกมาได้ โดยเฉพาะเมื่อหายใจออก ไอ จาม หรือพูดคุย

ละอองลอยเหล่านี้มีน้ำหนักเบามาก จึงสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น และกระจายตัวไปได้ไกลกว่าละอองฝอย

การแพร่เชื้อทางอากาศ (Airborne) นี้มีความสำคัญในพื้นที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่ดี หรือในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากนัก ก็อาจมีโอกาสติดเชื้อได้

การทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น การร้องเพลง การออกกำลังกาย หรือการตะโกน อาจทำให้มีการปล่อยละอองลอยออกมามากขึ้น


การสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ (Fomite Transmission / Contact Transmission):

แม้จะไม่ใช่ช่องทางหลัก แต่ก็เป็นไปได้ที่เชื้อจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อนละอองฝอยจากผู้ป่วย (เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได)

จากนั้น หากนำมือที่สัมผัสเชื้อมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก หรือปาก ก็อาจทำให้ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้

ดังนั้น การล้างมือให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ


ช่วงเวลาที่แพร่เชื้อได้มากที่สุด:

ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนที่จะมีอาการ และช่วง 2-3 วันแรกหลังเริ่มมีอาการ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีปริมาณไวรัสสูง และหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อโดยไม่ตั้งใจ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการแพร่กระจายเชื้อ:

ระยะใกล้ชิด: ยิ่งอยู่ใกล้ผู้ป่วยมากเท่าไหร่ โอกาสติดเชื้อก็ยิ่งสูง

ระยะเวลาสัมผัส: การอยู่ร่วมกับผู้ป่วยเป็นเวลานานในพื้นที่ปิด เพิ่มความเสี่ยง

การระบายอากาศ: พื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดีจะทำให้ละอองลอยสะสมอยู่ในอากาศได้นานขึ้น

กิจกรรมที่ทำ: การไอ จาม ร้องเพลง ตะโกน ก่อให้เกิดละอองฝอย/ละอองลอยมากกว่าการหายใจปกติ

ด้วยกลไกการแพร่กระจายเหล่านี้ ทำให้มาตรการป้องกันอย่างการสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม การล้างมือบ่อยๆ และการอยู่ในสถานที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

15
ทำบุญไหว้พระ วัดจามเทวีวัดเก่าแก่พันกว่าปี ถวาย ดอกบัวในโถแก้วเข้าพระอุโบสถ

ไร่หนึ่งอรุณ ดอกบัวในโถแก้ว จะพาทุกท่าน ทำบุญ ไหว้พระ ถวาย ดอกบัวอบแห้งในโถแก้ว เข้าพระอุโบสถวัดจามเทวี เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งถวายชุดสังคทาน ชุดยา และสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์ ขอให้ทุกคนร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ

จังหวัดลำพูน อดีตดินแดนแห่งอารยธรรมหริภุญชัย เป็นที่ตั้งของวัดเก่าแก่มากมาย หนึ่งในวัดที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดคือ “วัดจามเทวี” หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “วัดกู่กุด” วัดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในมรดกที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ ศิลปะ และความเชื่อของชาวล้านนาและผู้คนภาคเหนือมาอย่างยาวนาน

นอกจากความเก่าแก่ของตัววัดแล้ว วัดจามเทวี ยังเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตำนานของ “พระนางจามเทวี” สตรีผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้วางรากฐานแห่งนครหริภุญชัย และเป็นแบบอย่างของผู้นำหญิงที่มีวิสัยทัศน์ สติปัญญา และศรัทธาในพระพุทธศาสนา

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่ประวัติของวัดจามเทวี ตำนานพระนางจามเทวี เรื่องเล่าในพื้นถิ่น สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ไปจนถึงหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันถึงความรุ่งเรืองของหริภุญชัยโบราณ

ทำบุญ ไหว้พระ

ประวัติวัดจามเทวี

วัดจามเทวี ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน อยู่ห่างจากวัดพระธาตุหริภุญชัยไปทางทิศตะวันตกไม่ไกล เป็นวัดเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 13 โดยพระนางจามเทวี เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระองค์หลังเสด็จสวรรคต

เดิมทีวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดกู่กุด” ซึ่งมาจากคำว่า “กู่” แปลว่า เจดีย์ หรือโบราณสถาน และคำว่า “กุด” ที่หมายถึงการตัด จึงตีความว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์ลักษณะไม่สมบูรณ์ หรือยอดตัด ซึ่งอาจเกิดจากการพังทลายขององค์เจดีย์ในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อเป็น “วัดจามเทวี” เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชินีผู้ทรงสร้าง ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ วัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะและดูแลโดยชุมชนท้องถิ่น และกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลำพูน
พระนางจามเทวี: ราชินีผู้วางรากฐานแห่งล้านนา

พระนางจามเทวี เป็นกษัตรีย์องค์แรกแห่งหริภุญชัย เชื่อกันว่าเป็นเจ้าหญิงจากเมืองละโว้ (ลพบุรี) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 พระองค์ได้รับการอัญเชิญจากพราหมณ์และนักบวชให้ขึ้นไปครองเมืองลัวะ (ดินแดนภาคเหนือในขณะนั้น) เพื่อก่อตั้งเมืองหริภุญชัย พระนางจึงเสด็จขึ้นเหนือพร้อมด้วยคณะติดตามจำนวนมาก รวมถึงพระภิกษุ และนักปราชญ์

ในตำนานกล่าวว่า พระนางได้มีโอรสฝาแฝดกับพญากาฬวรรค ผู้ครองเมืองลัวะ โดยไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง จนพระนางทราบภายหลังและปฏิเสธการครองคู่ด้วย โดยโอรสทั้งสองได้กลายเป็นผู้นำเมืองบริวารของหริภุญชัยต่อมา

พระนางจามเทวีเป็นผู้วางรากฐานด้านการเมือง การปกครอง และศาสนา ให้กับภาคเหนือ พระองค์ทรงนำศาสนาพุทธแบบเถรวาทจากลพบุรีขึ้นเหนือ ส่งเสริมการสร้างวัดวาอาราม สถาปนากฎหมาย และระบบราชการ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาและสังคมที่มีระเบียบแบบแผน

ตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระนางจามเทวี

ตำนานพระนางจามเทวีในพื้นถิ่นมีความหลากหลาย เช่น

    ตำนานม้าเหาะ – เล่าว่าพระนางขี่ม้าเหาะขึ้นเหนือจากลพบุรีมายังลำพูน เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและพลังศรัทธา
    ตำนานพญานาค – เมื่อต้องการขึ้นครองเมืองหริภุญชัย พระนางต้องเอาชนะพญานาคเจ้าที่ดิน ด้วยสติปัญญาและอำนาจแห่งธรรมะ
    เรื่องลูกฝาแฝด – โอรสทั้งสองที่เกิดจากพญากาฬวรรค เป็นผู้นำเมืองบริวารที่สำคัญในล้านนา เช่น เมืองลำปาง และเมืองหริภุญชัย

ตำนานเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านนิทานพื้นบ้าน คำบอกเล่า และงานประเพณี เช่น งานนบพระนางจามเทวี ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

สถาปัตยกรรมภายในวัด

วัดจามเทวีมีจุดเด่นทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญ ได้แก่:
1. เจดีย์กู่กุด

    เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมสูง ซ้อนกัน 5 ชั้น
    แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปปางประทานพรประดิษฐานทั้ง 4 ทิศ รวมทั้งหมด 60 องค์
    วัสดุหลักคืออิฐและปูน ปัจจุบันยอดเจดีย์หักหายไป แต่ยังคงความสง่างาม
    ศิลปะผสมผสานระหว่างพุกาม ทวารวดี และล้านนา

2. วิหารหลัก

    ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่
    ผนังวิหารมีภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของพระพุทธเจ้าและพระนางจามเทวี

3. พื้นที่สวนและบ่อน้ำโบราณ

    เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระนางใช้สรงน้ำ และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา

หลักฐานทางโบราณคดี

โบราณวัตถุที่พบภายในวัดและบริเวณใกล้เคียง ได้แก่:

    เศษภาชนะดินเผาแบบทวารวดี
    พระพุทธรูปปูนปั้น ศิลปะพุกาม
    จารึกหินที่กล่าวถึงพระนางจามเทวี
    แผ่นทองคำจารึกธรรมะ

หลักฐานเหล่านี้บางส่วนจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติลำพูน และบางส่วนยังคงอยู่ในวัดเพื่อให้ผู้คนได้ศึกษาและสักการะ
วัดจามเทวีในปัจจุบัน

ปัจจุบันวัดจามเทวีเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และจุดศูนย์รวมทางจิตใจของชาวลำพูนและนักท่องเที่ยว ผู้คนมาที่นี่เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ไหว้พระ ขอพร และชมสถาปัตยกรรมโบราณ

นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาถ่ายภาพเจดีย์กู่กุด โดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็นที่แสงอาทิตย์กระทบองค์เจดีย์เกิดเงาสวยงาม นอกจากนี้ ยังมีงานประเพณี เช่น งานบุญเดือนยี่ งานรำลึกพระนางจามเทวี และกิจกรรมธรรมะสำหรับประชาชนทั่วไป
สรุป

วัดจามเทวีไม่ใช่เพียงวัดโบราณ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมล้านนา ความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธ และความสามารถของผู้นำหญิงผู้ยิ่งใหญ่ พระนางจามเทวีคือแรงบันดาลใจของผู้หญิงในประวัติศาสตร์ไทย ผู้ทรงสร้างเมืองหริภุญชัยให้เป็นศูนย์กลางทางศาสนา การศึกษา และศิลปะที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

การได้มาเยือนวัดจามเทวีคือการเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ยุคที่ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนแปลงโลกด้วยปัญญา ความเมตตา และศรัทธาได้อย่างแท้จริง

หน้า: [1] 2 3 ... 32