head prakardsod






























































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 28
1
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


2
ปล่อยรถไมล์น้อย BMW 320Li ปี 2023 โปรโมชั่นราคาพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW Series 3 320Li M Sport ปี 2023
BMW 320Li M Sport  ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้าที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,400 รอบต่อนาที โลดแล่นด้วยความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.9 วินาที มอบความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 20 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
Bsi ถึง 27/3/29
Warranty ถึง 27/3/29

ราคาพิเศษ 1,990,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                     เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 5,000 - 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350 - 4,000 รอบต่อนาที

ขนาดเครื่องยนต์ (CC)       1,998 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    184 แรงม้า
ระบบเกียร์                      เกียร์ออโต้ 8AT
รูปแบบเกียร์                    พร้อม Sport Steptronic
ระบบเบรค ABS               มี (พร้อมระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง       เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน                Injection
น้ำหนักตัวรถ                     -
ประเภทยางรถยนต์              -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                 ล้ออัลลอย (ขนาด 18 นิ้ว ลาย V-spoke แบบสลับสี)
ระบบขับเคลื่อน                 ขับเคลื่อนล้อหลัง


3
พูดคุยเรื่องทั่วไป / อาการของโรคไส้เลื่อน (Hernia)
« เมื่อ: วันที่ 4 มิถุนายน 2025, 21:34:04 น. »
อาการของโรคไส้เลื่อน (Hernia)

ไส้เลื่อน หมายถึง ภาวะที่มีลำไส้บางส่วนเคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนมาตุงที่ผนังหน้าท้อง เห็นเป็นก้อนนูนตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของหน้าท้อง พบบ่อยที่บริเวณสะดือ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดช่องท้อง*

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากรทุกกลุ่มอายุ สำหรับกลุ่มอายุมากกว่า 45 ปีพบได้ประมาณร้อยละ 4

ไส้เลื่อน แบ่งออกเป็นหลายชนิดตามสาเหตุและตำแหน่งที่พบ อาทิ

    ไส้เลื่อนสะดือ (umbilical hernia) หรือ สะดือจุ่น พบบ่อยในทารก มักมีอาการตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเด็กร้องไห้จะเห็นสะดือโป่ง ส่วนใหญ่จะหายได้เองก่อนอายุได้ 1-2 ปี ส่วนน้อยจะหายเมื่ออายุได้ 2-5 ปี

ไส้เลื่อนสะดือ ก็อาจพบในผู้ใหญ่ได้ เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้หน้าท้องบริเวณรอบสะดืออ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ไส้เลื่อนขาหนีบ (inguinal hernia) นับเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด (ประมาณร้อยละ 70 ของไส้เลื่อนทั้งหมด) พบในเด็กโตและผู้ใหญ่ และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 10 เท่า (พบว่าในชั่วชีวิตของทุกคนมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนประมาณร้อยละ 27 สำหรับผู้ชาย ร้อยละ 3 สำหรับผู้หญิง) จะพบอาการมีก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ในผู้ชายบางรายอาจมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ถุงอัณฑะ เรียกว่า "ไส้เลื่อนลงอัณฑะ"

ผู้ป่วยอาจมีหน้าท้องตรงบริเวณขาหนีบอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด แต่อาการของไส้เลื่อนมักจะปรากฏเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน บางรายอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง

    ไส้เลื่อนต้นขา (femoral hernia) พบที่บริเวณต้นขาด้านใน ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าขาหนีบ พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของไส้เลื่อนทั้งหมด พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
    ไส้เลื่อนรอยแผลผ่าตัด (incisional hernia) พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของไส้เลื่อนทั้งหมด เนื่องจากผนังหน้าท้องในบริเวณแผลผ่าตัดมีความอ่อนแอกว่าปกติ ทำให้ลำไส้ไหลเลื่อนเป็นก้อนนูนที่บริเวณนั้น

*นอกจากนี้ยังมีไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ที่พบบ่อยได้แก่ ไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia/diaphragmatic hernia) ซึ่งเป็นภาวะที่กระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้

สาเหตุ

เกิดจากผนังหน้าท้องบางจุดมีความอ่อนแอ (หย่อนยาน) ผิดปกติ ทำให้ลำไส้ที่อยู่ข้างใต้เคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนเข้าไปในบริเวณนั้น ความบกพร่องดังกล่าวอาจมีมาแต่กำเนิด หรืออาจเกิดขึ้นในภายหลังเมื่ออายุมากขึ้นก็ได้

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดไส้เลื่อน ได้แก่

    การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นไส้เลื่อน
    การมีประวัติเป็นไส้เลื่อนในวัยเด็กหรือเคยผ่าตัดไส้เลื่อนมาก่อน
    การมีประวัติผ่าตัดช่องท้องมาก่อน
    ผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเสื่อมของผนังหน้าท้อง
    ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังยังไม่เจริญแข็งแรงเต็มที่
    ไอเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมอักเสบ หรือถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งเกิดจากการสูบบุหรี่
    ท้องผูกเรื้อรัง ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ
    ต่อมลูกหมากโต ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายปัสสาวะเป็นประจำ
    การมีบุตรหลายคน เนื่องจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรบ่อยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ และมีแรงดันในช่องท้องสูง
    ภาวะอ้วน การยกของหนักเป็นประจำ การมีน้ำในช่องท้อง (เช่น ในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง) และการล้างไตผ่านทางช่องท้อง (ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง) ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูง

อาการ

ทารกที่สะดือจุ่น จะมีอาการสะดือโป่งชัดเจนเวลาร้องไห้ โดยเด็กสบายดี และไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

ในผู้ใหญ่ หากไส้เลื่อนมีขนาดเล็ก อาจไม่มีอาการชัดเจน เช่น ในผู้หญิงที่เป็นไส้เลื่อนต้นขา มักไม่พบก้อนนูนที่บริเวณต้นขา แต่อาจมีอาการปวดบริเวณต้นขาเป็นครั้งคราวโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกว่าก้อนมีขนาดโตขึ้นจึงจะเห็นก้อนนูนได้ชัด

ในรายที่มีไส้เลื่อนขนาดใหญ่ จะมีอาการเป็นก้อนนูนตรงบริเวณที่เป็นไส้เลื่อน (สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) สำหรับไส้เลื่อนขาหนีบซึ่งพบมากในผู้ชาย หากมีลำไส้เลื่อนไหลลงมาที่ถุงอัณฑะ จะพบว่ามีก้อนนูนที่ถุงอัณฑะ ทำให้อัณฑะบวมโตกว่าอีกข้างที่ปกติ


ก้อนนูนของไส้เลื่อนมักจะเห็นชัดขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย เวลานอนหงายก้อนจะเล็กลงหรือยุบหายไป ก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด (นอกจากในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจมีอาการปวดไส้เลื่อนอย่างฉับพลัน หรือปวดท้องรุนแรง)

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้จนไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ผนังหน้าท้องจำนวนมากขึ้น จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ กล่าวคือ ไส้เลื่อนอาจเกิดการติดค้างอยู่ที่บริเวณผนังหน้าท้อง (เช่น สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) ไม่สามารถไหลกลับเข้าช่องท้องได้ตามปกติ เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดติดคา (incarcerated hernia) ซึ่งอาจทำให้มีอาการของลำไส้อุดกั้น คือปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อย ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจจาระ

ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดค้างอยู่ถูกบีบรัดจนบวมและขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดเนื้อเยื่อลำไส้จะตายเน่า (gangrene) เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด (strangulated hernia) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง ก้อนไส้เลื่อนปวดเจ็บมาก และผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงหรือสีคล้ำ ต่อมาลำไส้ที่ตายเน่าเกิดการทะลุก็จะกลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบสะดือโป่ง หรือก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด

บางรายแพทย์อาจวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

1. สะดือจุ่นในเด็กเล็ก แนะนำให้สังเกตอาการโดยไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขเมื่อสะดือจุ่นมีอาการปวด, มีอาการปวดท้องและอาเจียนรุนแรง (จากภาวะลำไส้อุดกั้นแทรกซ้อน), สะดือจุ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1-2 ซม., เมื่อครบอายุ 2 ปีแล้วสะดือจุ่นขนาดยังไม่เล็กลง หรือเมื่ออายุครบ 5 ปีแล้วยังไม่ยุบหายดี

2. สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไส้เลื่อนสะดือ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการปวดหรือก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น

3. ไส้เลื่อนที่พบบริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด ถ้ามีขนาดเล็กและไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ และนัดมาตรวจเป็นระยะ หากพบว่าก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีอาการปวด หรือผู้ป่วยมีความวิตกกังวล แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน คือ นัดให้มารับการผ่าตัดเมื่อสะดวกและมีความพร้อม

4. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง หรือก้อนติดคา แพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเร่งด่วน

ผลการรักษา สำหรับไส้เลื่อนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดช่วยให้หายเป็นปกติได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีไส้เลื่อนเกิดขึ้นใหม่ในเวลาต่อมาได้

ในรายที่ปล่อยไว้จนกลายเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา และเกิดภาวะลำไส้อุดกั้น และ/หรือเป็นไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด ถ้าได้รับการผ่าตัดอย่างทันท่วงทีก็จะปลอดภัยและหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการก้อนนูนที่บริเวณหน้าท้อง ขาหนีบ หรือต้นขาเป็นครั้งคราวขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไส้เลื่อน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด สำหรับกรณีต่อไปนี้

    ในรายที่ยังไม่ได้รักษาด้วยการผ่าตัด และแพทย์แนะนำให้สังเกตอาการ หรือรอนัดผ่าตัด หากมีอาการไส้เลื่อนติดค้างอยู่ข้างนอก ไม่ไหลกลับเข้าไปในช่องท้องอย่างที่เคย ก้อนไส้เลื่อนมีอาการปวดเจ็บ หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียนมาก ควรไปพบแพทย์โดยด่วน
    ในรายที่แพทย์รักษาด้วยการผ่าตัด และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน หากมีอาการผิดปกติ (เช่น มีไข้ ปวดท้อง อาเจียน กินอาหารไม่ได้ แผลอักเสบ เป็นต้น) มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา หรือมีความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากผู้ป่วยไส้เลื่อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไส้เลื่อนขาหนีบ ไส้เลื่อนสะดือ) มักเกิดจากการมีความอ่อนแอของผนังหน้าท้องมาแต่กำเนิด

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแรงดันในช่องท้องสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนและการกำเริบซ้ำของโรคนี้     

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ไม่สูบบุหรี่ เพื่อป้องกันโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง (ซึ่งทำให้มีอาการไอเรื้อรัง)
    ป้องกันท้องผูกด้วยการกินอาหารที่มีกากใยมาก และดื่มน้ำมาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
    หากมีอาการไอเรื้อรัง ท้องผูก ต่อมลูกหมากโต ควรรีบดูแลรักษาให้อาการทุเลาลง

ข้อแนะนำ

1. ควรอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจถึงสาเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นของโรคไส้เลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้เลื่อนที่ขาหนีบ ซึ่งพบว่าบางคนรู้สึกว่าการมีก้อนนูนที่ขาหนีบเป็นสิ่งที่น่าละอาย และไม่กล้าไปพบแพทย์

2. การรักษาไส้เลื่อนให้หายขาดมีอยู่ทางเดียวคือการผ่าตัดซ่อมแซมผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ซึ่งแพทย์จะนัดทำในเวลาที่เหมาะสม ระหว่างที่รอนัดมาผ่าตัด (ซึ่งอาจนานเป็นแรมปี) ผู้ป่วยควรสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าหากมีอาการปวดท้อง อาเจียน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

3. ในปัจจุบันการผ่าตัดมีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (open surgery) ซึ่งทำกันมาแต่เดิมแล้ว ยังมีวิธีใหม่ ๆ อาทิ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (laparoscopic surgery) และการใช้แขนกลช่วยผ่าตัดด้วยระบบดาวินชี (robotic-assisted da Vinci surgical system) ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีใหม่ ๆ ให้ผลดีกับผู้ป่วยหลายประการ เช่น รอยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมากและเจ็บแผลน้อย เสียเลือดน้อย เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อย อยู่โรงพยาบาลเพียงไม่กี่วัน และฟื้นตัวได้เร็ว

4
โทรศัพท์มือถือใหม่ 2025 เอซุส ASUS ROG Phone8 Pro Edition (24GB/1TB)
47,990 บาท 

เอซุส ASUS ROG Phone8 Pro Edition (24GB/1TB)

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                  เอซุส ASUS ROG Phone8 Pro Edition (24GB/1TB)
   ราคากลาง                47,990 บาท
   จำนวนซิม                2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์               จอสัมผัส
   สี                         Black(Phantom Black)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G
   ขนาด-น้ำหนัก                          ยาว 163.8 x กว้าง 76.8 x หนา 8.9 มม., น้ำหนัก 225 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)         1000 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด              -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ              ความจุแบตเตอรี่ 5,500 mAh
จอแสดงผล
   ชนิดจอ                    จอสัมผัส (Flexible AMOLED)
   ความละเอียด             6.78 นิ้ว, 1,080 x 2,400 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                     กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (32 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                  -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)               Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3, SM8650, Qcta-core CPUs, 3.3GHz
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)                 24.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                 USB, Bluetooth, NFC, Wi-Fi((802.11 be/ax/ac/a/b/g/n))
   ระบบรับส่งข้อความ                      -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต               3G, WiFi, 4G, 5G

5
ผู้ปกครองอย่าถอดใจการจัดฟันเด็ก EF Line ใส่ยาก แต่ดีมากสำหรับเด็กเล็ก

อย่างที่หลายๆท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ในยุคสมัยนี้มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ล้ำสมัย โดยมีชื่อว่า “EF Line” อุปกรณ์สำคัญในการจัดฟันในเด็กเล็ก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด และได้รับการรองรับจากทันตแพทย์ทั่วโลกว่า เหมาะสมสำหรับเด็ก ลบความเชื่อผิดๆที่ว่าเด็กเล็กไม่ควรจัดฟันได้อย่างสิ้นเชิง

ซึ่งได้นำนวัตกรรมล้ำสมัยนี้มาใช้ กับเด็กเล็กที่มีอาการผิดปกติทางด้านโครงสร้างกระดูกขากรรไกรที่เป็นต้นเหตุหลักทำให้ใบหน้าผิดรูป รวมถึงการสบฟันผิดปกติในเด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมที่ทำให้เด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากในอนาคตอีกด้วย

แต่ก็ต้องขอบอกก่อนว่าเด็กเล็กๆ มักจะมีการต่อต้าน อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line มากพอสมควร ซึ่งอยากให้ผู้ปกครองอย่าถอดใจและทำความเข้าใจในพฤติกรรม และแข็งใจให้บุตรหลานของท่านใส่ให้ได้ โดยรายละเอียดวิธีการใช้และแก้ปัญหามีดังต่อไปนี้


กฎสำคัญในการใส่ EF Line ในเด็กเล็ก

– สิ่งสำคัญที่สุดในการให้บุตรหลานของท่านใส่ EF Line คือ บุตรหลานของท่านต้องมีอายุ 4 ปี ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในอุปกรณืชิ้นนี้คือใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี

– ก่อนที่จะทำการใช้ อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ควรได้รับการวินิจฉัยจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อมาใส่เอง เพราะ อุปกรณ์ EF Line จะถูกผลิตขึ้นมาใหม่ทุกครั้งเพื่อรับกับช่องปากและฟันของคนนั้นเท่านั้น และจะมีการวางรูปแบบในระยะยาว จึงไม่สามารถหาซื้อมาใส่เองหรือทำกับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในด้านนี้เฉพาะได้

– ในขณะที่ใช้อุปกรณ์ EF Line จะต้องอยู่ในการดูแลของทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด มาตามนัดทันตแพทย์ผู้รักษาอย่าให้ขาด เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงที่สุดนั่นเอง


คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ EF Line

ต้องขอบอกเลยว่า เด็กเล็กๆหลายๆคนมีปัญหาในการใส่ EF Line เนื่องจากว่าในขณะที่ทำการใส่แรกๆนั้น จะเกิดความไม่เคยชินเนื่องจากว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในช่องปาก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในบางตำแหน่ง และอาจจะเกิดบาดแผลเล็กๆได้ ซึ่งหากว่ามีบาดแผลในช่องปากให้ทำการทายาสำหรับช่องปาก ซึ่งอาจจะมีอาการเจ็บบ้างในระยะแรกๆ แต่ไม่นานแผลเหล่านั้น และอาการระคายเคืองจะหมดไปเนื่องจากร่างกายจะปรับตัวตามธรรมชาติ หรือพยายามให้เด็กเล็กที่ใส่อุปกรณ์ EF Line ดื่มน้ำเยอะๆในขณะใส่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นภายในช่องปากก็สามารถลดการระคายเคืองได้ดีเช่นกัน

อีกสิ่งสำคัญที่มักจะทำให้ผู้ปกครองตกใจและให้บุตรหลานเลิกใส่นั่นก็คือ เมื่อทำการใส่ EF Line เด็กเล็กๆจะเริ่มมีอาการอยากอาเจียน บางคนถึงขั้นอาเจียนทุกครั้งเมื่อทำการใส่ ซึ่งถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองพยายามแข็งใจบังคับตนเองให้ใส่ EF Line ให้บุตรหลานให้ได้ เพราะ เมื่อใส่ไประยะหนึ่งจะเกิดความเคยชินและก็จะไม่เกิดอาการอยากอาเจียนอีก

หากต้องทำการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ให้เด็กเล็กๆ ผู้ปกครองควรเชื่อฟันคำแนะนำจากทันตแพทย์ ใจแข็ง ให้นึกไว้เสมอว่าหากไม่ให้บุตรหลานใส่อนาคตอาจจะต้องเสียใจเพราะบุตรหลานของท่านอาจมีฟันและโครงหน้าที่ผิดปกติและจะทำให้เกิดการรักษายากขึ้นมากตามอายุนั่นเอง


วิธีใส่ EF Line ที่ถูกต้อง

– กลางวัน

การใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ในช่วงเวลากลางวัน หรือตอนตื่นนอน ควรเลือกเวลาให้ใส่ติดปากห้ามถอดออกเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่ใส่นี้ผู้ปกครองควรสังเกตพยายามให้บุตรหลานอยู่นิ่งๆ ไม่เอานิ้วเข้าปาก ไม่เคี้ยวอุปกรณ์เล่น ปิดปากให้สนิทไม่พูดคุยในขณะที่ทำการใส่อยู่เพื่อเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบปาก

– กลางคืน

ในเวลากลางคืนนี้ถือได้ว่าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากว่าให้ใส่ก่อนจะเข้านอน โดยต้องทำการใส่ติดปากห้ามถอดในขณะนอนหลับ เป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง

ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องที่ควรรู้ในการให้บุตรหลานหรือเด็กเล็กๆใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line โดยผู้ปกครองจะต้องใจแข็งและตั้งใจไปกับบุตรหลานของท่านด้วย เพียงเท่านี้อาการผิดปกติในช่องปากต่างๆก็จะกลับมาเป็นปกติอันรวดเร็วตามระเบียบของเด็กและผู้ปกครองด้วย

6
คอนโดติดรถไฟฟ้า เฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ (Flexi Rattanathibet)
เริ่มต้น 1.89 ลบ.

เฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ (Flexi Rattanathibet)
เตรียมพบกับคอนโด Extra Function Cloudspace เพดานสูง 3.6 ม. Multifunction space พื้นที่ที่ออกแบบได้ตามใจทั้งพื้นที่ในห้อง และพื้นที่ส่วนกลาง เพียง 200 ม. จาก MRT บางกระสอ*

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            เฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ (Flexi Rattanathibet)
 เจ้าของโครงการ      เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 ราคา                   เริ่มต้น 1.89 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล          คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี       1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี        ตั้งแต่ 28.00 ถึง 52.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนตึก            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น           36 ชั้น
 จำนวนห้อง         474 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง        บางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี 11000
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:         ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(บางกระสอ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Central รัตนาธิเบศร์
Esplanade งามวงศ์วาน-แคราย
Lotus แคราย
Big C รัตนาธิเบศร์
Big C ติวานนท์
ตลาดสินทอง
ตลาด อ.ต.ก
ตลาดนนทบุรี
รพ.นนทเวช
รพ.พระนั่งเกล้า
รพ.วิภาวดี
กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
สำนักงาน ปปช.
ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี
กรมราชฑัณฑ์
กระทรวงสาธารณสุข

7
ห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง ควรใช้ผ้ากันไฟ ประเภทและขนาดไหนดี

ในห้องเครื่องจักรที่มีอุณหภูมิสูง การเลือกใช้ผ้ากันไฟมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากความร้อนสูง, ประกายไฟ, สะเก็ดไฟ, หรือแม้แต่เปลวไฟที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติของเครื่องจักร การเลือกประเภทและขนาดที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ประเภทของผ้ากันไฟที่แนะนำสำหรับห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง

ผ้ากันไฟสำหรับห้องเครื่องจักรที่อุณหภูมิสูงมักไม่ได้หมายถึง "ผ้าห่มกันไฟ" สำหรับดับไฟขนาดเล็กอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผ้าที่ใช้เป็น ฉนวนกันความร้อน (Insulation Fabric), ผ้ากันสะเก็ดไฟ (Welding Blanket/Spatter Cloth), หรือ ม่านกันความร้อน/กันประกายไฟ (Heat/Spark Barrier Curtains)

วัสดุหลักที่แนะนำคือเส้นใยที่ทนความร้อนสูงพิเศษ ดังนี้:

ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Fabric):
คุณสมบัติ: เป็นที่นิยมและใช้กันแพร่หลาย ทนอุณหภูมิได้ประมาณ 550°C (ขึ้นอยู่กับเกรดและการเคลือบ) มีน้ำหนักเบาและยืดหยุ่นดี บางชนิดอาจมีการเคลือบซิลิโคน (Silicone Coated Fiberglass) เพื่อลดอาการระคายเคือง (อาการคัน) และเพิ่มความทนทานต่อน้ำและสารเคมี
การใช้งาน: เหมาะสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูงปานกลาง, ป้องกันสะเก็ดไฟจากงานเชื่อม/ตัด, หุ้มท่อหรืออุปกรณ์ที่เกิดความร้อน

ผ้าซิลิกา (Silica Fabric):
คุณสมบัติ: ทนอุณหภูมิได้สูงกว่าใยแก้วมาก โดยสามารถทนได้ถึง 900°C - 1000°C หรือบางเกรดอาจสูงถึง 1200°C มีความบริสุทธิ์ของซิลิกาสูง บางชนิดมีการเคลือบซิลิโคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้งาน: เหมาะสำหรับงานที่มีความร้อนสูงมาก, งานเชื่อมหนัก, ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนถอดได้ (Removable Insulation Jacket), หุ้มอุปกรณ์ที่มีอุณหภูมิสูงจัด

ผ้าเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber Cloth):
คุณสมบัติ: เป็นวัสดุที่ทนความร้อนได้สูงที่สุดในกลุ่มผ้ากันไฟ สามารถทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 1200°C ถึง 1800°C หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและเกรดการผลิต
การใช้งาน: เหมาะสำหรับงานที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่รุนแรงที่สุด, งานเตาหลอม, หรือใช้เป็นฉนวนกันความร้อนในอุตสาหกรรมหนัก


ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:

การเคลือบ: ผ้าบางชนิดมีการเคลือบสารเพิ่มเติม (เช่น ซิลิโคน, PU, อลูมิเนียมฟอยล์) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติ เช่น ลดอาการคัน, กันน้ำ, สะท้อนความร้อน, หรือเพิ่มความทนทานต่อการเสียดสี เลือกตามความต้องการใช้งาน
ความหนา: ความหนาของผ้ามีผลต่อประสิทธิภาพการกันความร้อนและสะเก็ดไฟ โดยทั่วไปยิ่งหนายิ่งกันความร้อนได้ดี แต่ก็อาจแข็งและน้ำหนักมากขึ้น


2. ขนาดของผ้ากันไฟที่เหมาะสม

ขนาดของผ้ากันไฟในห้องเครื่องจักรขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและลักษณะของเครื่องจักรหรือพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน:

สำหรับผ้าห่มกันไฟ (Fire Blanket - สำหรับดับไฟเบื้องต้น):

ควรเลือกขนาดที่ใหญ่พอที่จะคลุมแหล่งกำเนิดไฟที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น หากเป็นเครื่องจักรขนาดเล็กหรือตู้ควบคุมไฟฟ้าที่อาจเกิดไฟไหม้ ควรมีขนาดอย่างน้อย 1.5 เมตร x 1.5 เมตร (5x5 ฟุต) หรือ 1.8 เมตร x 1.8 เมตร (6x6 ฟุต) เพื่อให้คลุมได้มิดชิด
ติดตั้งในจุดที่เข้าถึงง่ายและมองเห็นชัดเจน ห่างจากจุดที่อาจเกิดไฟไหม้เล็กน้อย


สำหรับผ้ากันสะเก็ดไฟ/ม่านกันไฟ (Welding Blanket/Curtain):

คลุมเครื่องจักร/อุปกรณ์: ต้องวัดขนาดของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ต้องการคลุมให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงสะเก็ดไฟหรือความร้อนทั้งหมด อาจต้องสั่งตัดตามขนาดเฉพาะ
ม่านกันพื้นที่ (Partition Curtains): หากต้องการใช้เป็นม่านกั้นพื้นที่เพื่อแยกโซนงานเชื่อมหรือกั้นความร้อน ควรมีขนาดที่สามารถกั้นพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง โดยอาจเป็นผืนใหญ่ หรือหลายผืนต่อกัน
ม้วนหรือพับ: ควรมีขนาดที่สามารถจัดเก็บหรือพับเก็บได้สะดวกเมื่อไม่ใช้งาน หรือสามารถม้วนขึ้นได้เมื่อต้องการเปิดทาง
สำหรับฉนวนกันความร้อนแบบถอดได้ (Removable Insulation Jackets):
สิ่งเหล่านี้มักจะถูกตัดและเย็บขึ้นรูปตามรูปทรงและขนาดของท่อ, วาล์ว, หรืออุปกรณ์เฉพาะ เพื่อให้หุ้มได้อย่างแนบสนิทและถอดเข้าออกได้ง่าย


ขั้นตอนการเลือกและติดตั้ง

ประเมินความเสี่ยง: วิเคราะห์ประเภทของความร้อน (รังสี, การพาความร้อน, เปลวไฟโดยตรง), อุณหภูมิสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น, ชนิดของประกายไฟ, และวัตถุไวไฟที่อยู่รอบๆ

กำหนดวัตถุประสงค์: ต้องการใช้เพื่อดับไฟเบื้องต้น, กันสะเก็ดไฟ, ลดการแผ่ความร้อน, หรือเป็นฉนวน
เลือกประเภทวัสดุ: เลือกผ้าที่มีคุณสมบัติการทนอุณหภูมิที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ประเมินไว้
กำหนดขนาดและรูปแบบ: พิจารณาว่าจะใช้เป็นผืนคลุม, ม่านกั้น, หรือหุ้มเฉพาะส่วน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายผ้ากันไฟมักมีความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับประเภทและขนาดที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของโรงงาน
ติดตั้งให้ถูกต้อง: ติดตั้งในจุดที่ปลอดภัย, เข้าถึงง่าย, และไม่กีดขวางทางหนีไฟ หรือการทำงานของเครื่องจักร

การเลือกผ้ากันไฟที่ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและวัตถุประสงค์ในห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งบุคลากรและทรัพย์สินของโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

8
หมอออนไลน์: มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer)

มะเร็งตับอ่อน พบได้ไม่บ่อยนัก พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของมะเร็งทางเดินอาหาร พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบได้มากยิ่งขึ้นในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่
    ภาวะอ้วน หรือเบาหวาน
    ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็ง (ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการดื่มสุราจัด)
    การบริโภคไขมันสัตว์มาก และกินผักผลไม้น้อย
    การสัมผัสสารเคมี (เช่น น้ำมันเบนซิน สารกำจัดศัตรูพืช สีย้อมบางชนิด ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปิโตรเลียม)
    การมีประวัติโรคนี้ หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม รังไข่ มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ไต) ในครอบครัว ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการแสดง จนกว่ามะเร็งลุกลามมากแล้วก็จะมีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง ซึ่งมักปวดเวลาหลังอาหารหรือนอนลง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการแบบอาหารไม่ย่อย ตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว (เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นทางเดินน้ำดี) คันตามผิวหนัง อาจคลำได้ก้อนในท้อง ตับโต คลื่นไส้ อาเจียน (เนื่องจากลำไส้อุดกั้นจากก้อนมะเร็ง) ท้องเดินเรื้อรัง (เนื่องจากผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารได้น้อย ทำให้การดูดซึมผิดปกติ) หรือมีอาการที่เกิดจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังที่อื่น


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด น้ำหนักลดมาก

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี (มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว) ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออกในลำไส้ (ทำให้ถ่ายอุจจาระดำ โลหิตจาง) เข้าในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การส่องกล้องและฉีดสีเข้าไปในท่อน้ำดี (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP)

อาจทำการตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารCA 19-9 ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา

โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจชิ้นเนื้อเวลาทำการรักษาด้วยการผ่าตัด

หากจำเป็นแพทย์อาจทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดก่อนให้การรักษา ด้วยการตรวจชิ้นเนื้อโดยการใช้เข็มเจาะดูด (fine-needle aspiration) หรือใช้กล้องส่องเข้าช่องท้อง และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด หรือให้รังสีบำบัดและเคมีบำบัดในรายที่ผ่าตัดไม่ได้

ผลการรักษาไม่สู้ดี มักอยู่ได้ไม่นาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีต่ำกว่าร้อยละ 10) ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อมีอาการมาพบแพทย์ก็มักจะพบว่าเป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง, มีอาการแบบอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง, ตาเหลืองตัวเหลืองและอุจจาระสีซีดขาว, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันอย่างได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับอ่อน ดังนี้

    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด เพื่อลดการเป็นโรคตับแข็งและตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (โรคสองชนิดนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อน)
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินอาหารที่มีไขมันสัตว์ต่ำ และกินผักและผลไม้ให้มาก ๆ


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดท้อง ปวดหลังเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

9
ทำอาชีพเสริม จากการขายข้าวผัดต้มยำไก่ เปรี้ยวแซ่บถึงเครื่อง หอมอร่อยกลิ่นเครื่องต้มยำ

ข้าวผัดไก่ต้มยำเป็นอาหารจานเดียวที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารไทยแสนอร่อยที่ผสมผสานรสชาติที่เข้มข้นของต้มยำเข้ากับรสชาติที่ผ่อนคลายของข้าวผัด อาหารจานนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสมดุลของรสชาติเผ็ดเปรี้ยวเค็มและหวานเล็กน้อยที่อาหารไทยขึ้นชื่อ ทำง่าย อัดแน่นด้วยส่วนผสมที่มีกลิ่นหอม และเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเพลิดเพลินกับรสชาติของต้มยำในมื้ออาหารที่เรียบง่ายและน่าพึงพอใจ

ข้าวผัดต้มยำไก่ เป็นเมนูอาหารจานเดียวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยรสชาติที่จัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด หอมกลิ่นเครื่องต้มยำ ทำให้เป็นเมนูที่ถูกใจคนไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก

อะไรที่ทำให้ข้าวผัดไก่ต้มยำพิเศษ?
ข้าวผัดจานนี้แตกต่างจากข้าวผัดทั่วไป เพราะมีส่วนผสมของต้มยำ เช่นตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า พริก และน้ำมะนาวเพื่อให้ได้รสชาติที่เปรี้ยวและเผ็ดร้อนเป็นเอกลักษณ์ ไก่ยังช่วยเพิ่มโปรตีน ทำให้เป็นอาหารมื้อที่อิ่มท้องและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ส่วนผสมที่สำคัญ
ข้าวหอมมะลิหุงสุก – ควรเป็นข้าวเหลือเพื่อให้มีเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด
ไก่ – หั่นเป็นชิ้นหรือเต๋า เพื่อความชุ่มฉ่ำและนุ่มลิ้น
น้ำพริกต้มยำ – เพิ่มรสชาติแบบต้นตำรับได้ทันที
กระเทียมและพริก – เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
ตะไคร้ ใบมะกรูด และข่าส่วนผสมสำคัญของต้มยำ
น้ำปลาและน้ำมะนาว – เพื่อปรับสมดุลรสเค็มและเปรี้ยว
มะเขือเทศเชอร์รี่และหัวหอม – เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสและความหวาน
ผักชีสดและต้นหอม – สำหรับตกแต่งและเพิ่มความสดชื่น

วิธีทำข้าวผัดไก่ต้มยำ
เตรียมส่วนผสม

หั่นไก่เป็นชิ้น สับกระเทียม และหั่นเครื่องปรุงให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เตรียมส่วนผสมทั้งหมดให้พร้อมเพื่อให้การปรุงอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น
ผัดเครื่องหอม

ตั้งน้ำมันในกระทะหรือกระทะจีนบนไฟปานกลาง
ใส่กระเทียม พริก ตะไคร้ ใบมะกรูด และข่า ผัดจนมีกลิ่นหอม
ปรุงไก่

ใส่ไก่ที่หั่นไว้ลงไปแล้วผัดจนเป็นสีน้ำตาลทอง
ปรุงรสข้าว

คน ส่วนผสมให้เข้ากัน โดยใส่เครื่องต้มยำ น้ำปลา และน้ำตาลเล็กน้อย ให้เข้ากัน
ใส่ข้าวสวยที่หุงสุกแล้วลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยให้แน่ใจว่ามีรสชาติเคลือบทุกเมล็ด
จบด้วยความสดชื่น

เติมน้ำมะนาว มะเขือเทศเชอร์รี และหัวหอม ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน
เสิร์ฟและเพลิดเพลิน

ตกแต่งด้วยผักชีสดและต้นหอมก่อนเสิร์ฟ
เสิร์ฟร้อนพร้อมมะนาวฝานเป็นแว่นเพื่อรสชาติแซ่บยิ่งขึ้น
ทำไมคุณถึงควรลองเมนูนี้
รวดเร็วและง่ายดาย – เหมาะสำหรับมื้อด่วนที่บ้าน
อัดแน่นด้วยรสชาติ – ความผสมผสานระหว่างข้าวผัดและต้มยำในจานเดียว
ปรับแต่งได้ – ปรับระดับความเผ็ดหรือเพิ่มกุ้งสำหรับเวอร์ชันอาหารทะเล

ไม่ว่าคุณจะชอบข้าวผัดหรือต้มยำ อาหารจานนี้ถือเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับใครก็ตามที่ชื่นชอบรสชาติไทยๆ เข้มข้นและหอมกรุ่น ลองทำข้าวผัดไก่ต้มยำวันนี้ แล้วเพลิดเพลินกับมื้ออาหารรสเผ็ดเปรี้ยวแสนอร่อยในเวลาเพียงไม่กี่นาที


10
ปล่อยรถผู้บริหาร Volvo EC40 Ultra - Twin Motor รับส่วนลดเพิ่ม 50,000 บาท

วอลโว่ Volvo EC40 Ultra – Twin Motor ปี 2024
Volvo EC40 Ultra – Twin Motor รถไฟฟ้าสไตล์ครอสโอเวอร์ คูเป้ กับรูปทรงดีไซน์การออกแบบด้านท้ายของรถอันเป็นเอกลัษณ์ สำหรับผู้ที่มองหารถไฟฟ้าที่ไม่เพียงมาพร้อมพลังการขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าที่ทรงพลัง แต่รวมถึงดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของผู้ขับอย่างแท้จริง โดดเด่นด้วยเส้นหลังคา slimmed crossover roof line สีดำตัดกับสีตัวรถ และล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ ขนาด 19 นิ้ว ไฟ LED ทั้งด้านหน้าและท้ายให้สัมผัสแห่งความทันสมัย เพิ่มความโดดเด่นให้ดีไซน์ของรถเช่นเดียวกับกระจังหน้า และแผงสปอยเลอร์ด้านหลังที่ไม่เพียงทำให้ตัวรถมีดีไซน์ที่ร่วมสมัย สะดุดตา ในแบบฉบับของรถไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อการขับขั้นสูง

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 8 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
พิเศษสำหรับลูกค้า Checkraka รับส่วนลดเพิ่ม 50,000 บาท
ฟรี! ขยายรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม., ฟรี! ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กม. และฟรี! ขยายบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

ราคาพิเศษ 2,290,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

มอเตอร์ไฟฟ้า               กำลังสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 408 แรงม้า (150+258) ที่ พร้อมแรงบิด 670 นิวตันเมตร (250+420) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)          แรงม้า
ระบบเกียร์                            เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                         Single speed transmission
ระบบเบรค ABS                     มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD และระบบช่วยเบรคฉุกเฉิน EBA)
ชนิดแบตเตอรี่                       ไฟฟ้า
ความจุแบตเตอรี่                     82 kWh
ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง       650 กิโลเมตร
น้ำหนักตัวรถ                          -
ประเภทยางรถยนต์                   -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                       ล้ออัลลอย (19 นิ้ว ลายใหม่)
ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนสี่ล้อ (Dual motor, all-wheel drive)


11
บริการด้านอาหาร: บริโภคน้ำตาลอย่างไร ให้ห่างไกลเบาหวาน?

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย อาทิ ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน รวมทั้งโรคเบาหวาน ยังเป็นโรคที่พบมากในคนไทยจำนวนไม่น้อยด้วย

ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานที่ชื่นชอบอาหารรสจัดและมักจะใช้เครื่องปรุงรสในการประกอบอาหาร ซึ่งในเครื่องปรุงรสต่างๆนั้น ก็มีน้ำตาลหรือโซเดียมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคดังกล่าวได้ ทั้งนี้ อาหารหวานหรือของหวานต่างๆ ที่วัยรุ่นหรือเด็กๆที่ชอบรับประทาน ก็ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก จึงทำให้โรคเบาหวานมักจะพบได้ในคนที่อายุยังน้อยได้เช่นเดียวกัน ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการบริโภคน้ำตาล ให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน หรือทำอย่างไรเราถึงจะควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานของหวาน ได้หันมาใส่ใจในเรื่องของการบริโภคน้ำตาลมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดน้ำตาลในเลือดสูงหรือลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวานได้

อยากที่เรากล่าวมาตั้งแต่แรกว่า สาเหตุของการเกิดเบาหวาน ก็คือ เกิดจากการที่เรามีน้ำตาลในเลือดสูง หากอยากห่างไกลโรคเบาหวาน ควรเริ่มจากการงดบริโภคน้ำตาลเกินความจำเป็น เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำตาล น้ำอัดลม ลูกอม หรือขนมหวานต่างๆ ลดการกินข้าวหรือแป้งขัดขาว เพราะข้าวขัดสีมีใยอาหารน้อย ควรหันมารับประทานข้าวกล้อง และธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อให้ได้ใยอาหารที่เพียงพอ ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลและช่วยจับไขมันอาหารด้วย

นอกจากนี้ การรับประทานผักผลไม้ซึ่งมีใยอาหารสูงก็สามารถช่วยชะลอการดูดซึมของน้ำตาลทำให้ป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย ซึ่งการลดการบริโภคน้ำตาล ก็อาจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน แต่เราสามารถเริ่มจากลดการเติมน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มลง ใช้สูตรหวานน้อยจากปกติ และค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ลดการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน และน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เลือกรับประทานผลไม้สดโดยไม่ต้องจิ้มเกลือน้ำตาล หรืออาจเลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเป็นบางครั้งคราว และเพิ่มการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 เพื่อช่วยให้เกิดการเผาผลาญน้ำตาลส่วนเกิน ไม่ให้มีการเปลี่ยนรูปเป็นไขมันสะสมอยู่ในร่างกาย ส่วนในกรณีของคนวัยทำงานที่ติดการดื่มเครื่องดื่มในทุกเช้า ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ นม หรือน้ำผลไม้ รู้หรือไม่ว่าเครื่องดื่มแต่ละแก้วมีปริมาณน้ำตาลสูงแค่ไหน เครื่องดื่มบางอย่างแค่แก้วเดียวก็มากเกินปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวันแล้ว แต่หากเลิกไม่ได้จริง ๆ ให้สั่ง “หวานน้อย” เพราะอย่างน้อยก็ยังช่วยลดปริมาณน้ำตาลลงได้บ้าง และที่สำคัญที่สุด การลดความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำตาลในเลือดสูงนั้น ไม่ได้อยู่การลดการบริโภคน้ำตาลเพียงอย่างเดียว เราควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนเพลีย ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่คงที่

ร่างกายจึงต้องการพลังงานไปชดเชย โดยเฉพาะความหวาน ที่สามารถลดความเหนื่อยล้า อ่อนแรง และอาการง่วงนอน ดังนั้น หากเรานอนเพียงพออย่างน้อย 6-7 ชั่วโมง ไม่นอนดึก ลดการบริโภคช่วงกลางดึก ร่างกายก็จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ฮอร์โมนต่างๆ หลั่งออกมาและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีอารมณ์แจ่มใสและไม่เครียด ก็จะไม่รู้สึกอยากของหวานได้อีกด้วย

 นอกจากการที่เราเลือกรับประทานอาหารแล้ว สิ่งที่จำเป็นก็คือ การตระหนักถึงความปลอดภัยในการบริโภค โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว ต้องระมัดระวังในการรับประทานอาหารให้มากเป็นพิเศษ และต้องรับประทานอาหารที่ขจัดสารพิษ เพราะอาจจะส่งผลต่ออาการที่เป็นอยู่ได้ และต้องรับประทานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เหมาะสม ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพื่อที่จะได้ห่างไกลจากโรคร้ายที่มาจากการไม่เลือกรับประทานอาหาร

12
พูดคุยเรื่องทั่วไป / โรคฝีเต้านม (Breast abscess)
« เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2025, 22:01:39 น. »
โรคฝีเต้านม (Breast abscess)

ฝีเต้านม เป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราวในผู้หญิงที่ให้นมบุตรในระยะเดือนแรก ๆ

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อย ได้แก่ สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส ซึ่งจะเข้าไปในเต้านมโดยผ่านทางหัวนมที่ปริหรือแตก ทำให้เกิดเต้านมอักเสบ (mastitis) แล้วไม่ได้รักษาก็จะกลายเป็นฝีเต้านม

การมีนมคัดหรือมีน้ำค้างอุดอยู่ในท่อน้ำนม เนื่องจากทารกดูดไม่หมด เป็นปัจจัยเสริมให้เกิดการติดเชื้ออักเสบได้ง่าย


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เต้านมจะมีลักษณะบวมแดงร้อนและปวดมาก และต่อมน้ำเหลืองที่ใต้รักแร้ข้างเดียวกับเต้านมข้างที่เป็นฝีจะโตและเจ็บร่วมด้วย ถ้าหากปล่อยไว้บางครั้งฝีอาจแตกและมีหนองไหล


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษาให้ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจทำให้เชื้อลุกลามเข้ากระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจพบรอยโรคที่เข้าลักษณะของฝีเต้านม (ตรวจพบไข้ และเต้านมมีลักษณะบวมแดงร้อนและกดเจ็บ)

หากไม่แน่ใจแพทย์จะทำการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ และอาจนำน้ำนมหรือหนองไปตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการเจาะดูดหนองหรือผ่าระบายหนองออก และให้ยาปฏิชีวนะ

หากมีไข้สูง หรือมีอาการรุนแรง แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ทำการผ่าระบายหนอง และให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งในช่วงแรกจะให้ทางหลอดเลือดดำ) ให้น้ำเกลือ และให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้แก้ปวด)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดเต้านมมาก และเต้านมมีลักษณะบวมแดงร้อน คลำได้ก้อนฝีที่เต้านม ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นฝีเต้านม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีอาการไข้กำเริบใหม่ เต้านมข้างที่เป็นฝีมีอาการปวดมากขึ้นหรือบวมแดงร้อนมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ป้องกันไม่ให้เต้านมอักเสบ โดยปฏิบัติตัว ดังนี้

    หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ และรักษาความสะอาดหัวนมก่อนและหลังให้ทารกดูดนม
    ป้อนนมลูกเป็นเวลาบ่อย ๆ
    ให้ทารกดูดนมทั้ง 2 ข้างพอ ๆ กัน โดยดูดนมให้หมดข้างหนึ่งก่อนค่อยสลับข้าง หากไม่หมดควรใช้นิ้วรีดนมหรือใช้อุปกรณ์ปั๊มนมออกให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้นมคัดหรือมีนมค้างอุดอยู่ในท่อน้ำนม
    หมั่นเปลี่ยนท่าการให้นมแต่ละครั้ง และจัดท่าให้ทารกดูดนมได้ถนัด
    หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าและเสื้อชั้นในที่คับหรือบีบรัดเกินไป

2. ถ้าสงสัยเต้านมอักเสบ หรือเต้านมมีอาการปวด บวม แดงร้อน ควรรีบไปพบแพทย์ตรวจรักษา หากปล่อยไว้อาจทำให้เป็นฝีเต้านมแทรกซ้อนได้

ข้อแนะนำ

เมื่อมีก้อนที่เต้านม หากเกิดจากการอักเสบเป็นฝี มักมีอาการไข้ หนาวสั่น และก้อนเต้านมจะมีลักษณะะปวดมาก และออกแดงร้อน กดถูกเจ็บ

แต่ถ้ามีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ไม่มีอาการปวดแดงร้อน กดถูกไม่เจ็บ มักจะเป็นก้อนเนื้องอกหรือมะเร็งเต้านม

อย่างไรก็ตาม หากคลำได้ก้อนที่เต้านม ไม่ว่าจะมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

13
จัดฟันบางนา: พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันแบบใส เกิดความเสียหายได้

การเข้ารับการจัดฟัน ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะช่วยให้เรามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติแล้ว การจัดฟันยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีด้วย หลายคนที่กำลังตัดสินใจเข้ารับการจัดฟันนั้นก็อาจจะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆในเรื่องของการจัดฟันเพื่อที่จะได้ตัดสินใจและเลือกรูปแบบการจัดฟันที่เหมาะสมกับปัญหาของเรามากที่สุด


เนื่องจากฟันของ แต่ละคนนั้นมีการเรียงตัวและลักษณะฟันที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงรูปร่างของฟัน ขนาดฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุและปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความมั่นใจลดลง รวมไปถึงทำให้เสียบุคลิกภาพ ซึ่งการจัดฟันจึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการติดตัวของฟันที่ไม่เหมาะสม ช่วยให้ฟันเคลื่อนไปในตำแหน่งที่ถูกต้องและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งยัง ช่วยลดปัญหาในเรื่องของการบดเคี้ยวอาหาร เพราะปัญหาฟันส่งผลต่อการรับประทานอาหารของเรา และถ้าหากไม่ทำการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย


ดังนั้น สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบไหน ก็ควรศึกษาและปรึกษาทันตแพทย์เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสุขภาพฟันของเรามากที่สุด นอกจากนี้ ในเรื่องของการจัดฟัน ถ้าหากพูดถึงการจัดฟันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน ก็คงหนีไม่พ้นการจัดฟันแบบใส ซึ่งหลายคนมีความสนใจและต้องการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ซึ่งการจัดฟันแบบใสนั้นมีจุดเด่นก็คือเครื่องมือการจัดฟันที่มีลักษณะเป็นพลาสติกใส หลายคนก็ยังกังวลว่าการดูแลรักษาเป็นอย่างไรและเราจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้การรักษาเป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์วางไว้ และในวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจจะส่งผลทำให้เครื่องมือการจัดฟันแบบใสเกิดความเสียหายได้เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่สนใจได้ปฎิบัติตัวอย่างถูกต้อง


สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดความเสียหายของเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น ต้องบอกก่อนว่า ถึงแม้ว่าการจัดฟันแบบใสจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย เพราะเครื่องมือสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหารที่มีความแข็ง ความเหนียว เพราะอาจจะทำให้ฟันเกิดการแตกหักได้และจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันทำงานหรือยังคลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์กำหนดไว้ นอกจากนี้ พฤติกรรมการรับประทานอาหารขณะใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสก็ถือว่าเป็นข้อห้ามเลยทีเดียว


สำหรับผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส เพราะอาจจะทำให้เครื่องมือมีรูปร่างหรือสีที่เปลี่ยนแปลงออกไป ยิ่งหากดื่มชาหรือเครื่องดื่มร้อนขณะสวมใส่เครื่องมือก็จะทำให้เครื่องมือเกิดการบิดเบี้ยวได้ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่หลายคนมักจะเผลอสวมใส่เครื่องมือขณะดื่มเครื่องดื่มร้อน นอกจาก การดื่มเครื่องดื่มแล้ว การรับประทานอาหารระหว่างวันหรือใครที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่จุกจิก ขนมขบเคี้ยวต่างๆ ก็อาจจะเผลอรับประทานอาหารขณะใส่เครื่องมือการจัดฟันได้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของเครื่องมือ ดังนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องระมัดระวังไม่ให้เครื่องมือเกิดความเสียหายได้ เพราะจะทำให้การรักษาเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ


ดังนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดและที่สำคัญควรมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน อย่างน้อยวันละ 20 – 22 ชั่วโมง เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามแผนการรักษาที่ทันตแพทย์ได้ทำการกำหนดไว้ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันแบบใสและมีประสบการณ์อย่างยาวนานเกี่ยวกับการจัดฟัน รวมไปถึงบริการทางด้านทันตกรรมต่างๆ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้อย่างแน่นอน

14
งานมอเตอร์โชว์: XPENG เปิดวิสัยทัศน์ที่พลิกโฉมอนาคตแห่งการขับเคลื่อน ด้วย AI Tech Tree

เอ็กซ์เผิง ผู้นำธุรกิจไฮ-เทคสมาร์ทโมบิลิตี้ เปิดตัวกลยุทธ์ AI Tech Tree หรือโครงข่ายการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แบบต่างๆ ที่ผ่านการอัปเกรดใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการเดินทางในอนาคต ผ่านการหลอมรวมเทคโนโลยี AI การบริหารพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และปัญญาประดิษฐ์ที่ฝังอยู่ในตัว รวมถึงการกำหนดรากฐานระบบนิเวศในอนาคต สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ และพาหนะบินได้

มร. เหอ เสี่ยวเผิง ประธานและซีอีโอ เอ็กซ์เผิง กล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งคลื่นแห่งความก้าวหน้านี้ได้ ปัจจุบัน AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเข้าไปปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ และเปลี่ยนโลกที่อยู่รอบตัวเรา สำหรับ เอ็กซ์เผิง AI คือ สิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของพวกเรา การอัปเกรดกลยุทธ์ AI Tech Tree นับเป็นการตอกย้ำจุดเด่นของเราด้าน AI การบริหารพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และปัญญาประดิษฐ์ที่ฝังอยู่ในตัว (Embodied Intelligence หรือ AI ที่สามารถรับรู้ สื่อสาร และเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากระยะไกล) ด้วยการรวมเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ เรามุ่งสร้างระบบนิเวศแห่งอนาคตที่ประกอบด้วยยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ และพาหนะบินได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวกำหนดนวัตกรรมของ เอ็กซ์เผิง ในทศวรรษต่อไป และที่สำคัญกว่านั้นคือ สร้างอนาคตของโมบิลิตี้ที่ทุกคนเข้าถึงได้”
 
วิสัยทัศน์ด้าน AI ของ เอ็กซ์เผิง สำหรับทศวรรษต่อไป
สำหรับทศวรรษใหม่ เอ็กซ์เผิง จะใช้ AI เป็น ‘แกนหลัก’ ในการขับเคลื่อนสู่โมบิลิตี้ยุคอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า(Electrification) และปัญญาประดิษฐ์ที่ฝังอยู่ในตัว (Embodied Intelligence) เพื่อพัฒนาการเดินทางในหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งเรายังใช้กลยุทธ์ควบรวมการวิจัยและพัฒนาแบบครบวงจร ภายในองค์กร ครอบคลุมหลายส่วน อาทิ โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่อยู่บนคลาวด์, โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่อยู่ในรถ, ชิป AI ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับโมเดล AI ขนาดใหญ่ (Large Language Model-คือ AI ทีมีการเรียนรู้ที่ซับซ้อน โดยใช้ข้อมูลมหาศาล) และการพัฒนาสถาปัตยกรรมพื้นฐานสำหรับการใช้งานในโมเดลขนาดใหญ่
 
เอ็กซ์เผิง เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของจีน ที่จะผลิตรถยนต์ที่ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่แบบ end-to-end และเรากำลังขยายระบบขับขี่อัจฉริยะที่ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่นี้ออกไปทั่วโลก โดยได้เริ่มต้นการทดสอบแล้วที่ฮ่องกง
 
ชิปประมวลผล ‘Turing AI Chip’ ได้รับการพัฒนาขึ้นเองโดย เอ็กซ์เผิง มีโปรเซสเซอร์ 40 Core มีศักยภาพในการคำนวณสูงถึง 3 หมื่นล้านพารามิเตอร์ด้วยตัวเอง ส่งผลให้มีพลังการประมวลผลสูงกว่าชิปที่ใช้ในปัจจุบันถึง 3 เท่า ซึ่งชิปดังกล่าวจะถูกนำไปใช้กับยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ รวมถึงพาหนะบินได้ ซึ่งจะทำให้สามารถแชร์เทคโนโลยีข้ามแพลตฟอร์มได้ โดยจะเริ่มผลิต  ‘Turing AI Chip’ ในประเทศจีน ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568

ภายในงาน ได้มีการจัดแสดง ‘XPENG AEROHT Land Aircraft Carrier’ ยานบินแบบแยกส่วนรุ่นแรกของโลก โดยจะเริ่มผลิตเพื่อจำหน่ายในปี 2569 ปัจจุบันมีออเดอร์จากลูกค้าแล้วกว่า 4,000 คัน จุดเด่นคือ สามารถบินขึ้นและลงจอดในแนวดิ่ง ไม่ต้องใช้พื้นที่เทค-ออฟ และแลนดิ้ง ทำให้การเดินทางทางอากาศ เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ เอ็กซ์เผิง ได้เปิดตัว ‘IRON’ หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ ที่ใช้ ‘Turing AI Chip’ มีข้อต่อ 60 จุด เคลื่อนไหวอิสระ 200 องศา และพลังประมวลผล 3,000 TOPS พร้อมติดตั้งระบบการมองเห็นอัจฉริยะ 720° แบบเดียวกับที่ใช้ควบคุมระบบขับอัตโนมัติของยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ โดย ‘IRON’ ถูกออกแบบให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนในโรงงานอัจฉริยะ รวมถึงในร้านค้าปลีก ซึ่งจะเป็นการเชื่อมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เป็นเพียงแนวคิด เข้ากับการใช้งานจริง
 
เพิ่มศักยภาพการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมและการทำตลาดทั่วโลก
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ เอ็กซ์เผิง มาพร้อมกับการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา เอ็กซ์เผิง ดำเนินธุรกิจในกว่า 30 ประเทศและภูมิภาค อีกทั้งเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มพรีเมียมราคาสูงกว่า 40,000 ยูโร ในยุโรป และเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าระดับกลางถึงสูงเป็นอันดับหนึ่ง และช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เอ็กซ์เผิง มียอดขายสูงสุดของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ของจีน

เอ็กซ์เผิง ลงทุนมหาศาลสำหรับโครงข่ายสถานีชาร์จทั่วโลก เพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีสถานีชาร์จเร็วพิเศษที่ดำเนินการเอง 2,110 แห่ง และความร่วมมือกับบริษัทระดับโลก เช่น โฟล์กสวาเกน และ บีพี พัลส์ (bp pulse) ปัจจุบันโครงข่ายสถานีชาร์จของ เอ็กซ์เผิง ครอบคลุมสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และ 27 ประเทศในยุโรป รวมทั้งสิ้น 2.07 ล้านหัวชาร์จ ใน 31 ตลาดทั่วโลก
 
สำหรับตลาดต่างประเทศ เอ็กซ์เผิง เชื่อว่า Globalization ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ซ้ำเดิมในแต่ละตลาด แต่เป็นการสร้างนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ โดยอิงตามความต้องการของตลาดในท้องถิ่น และในขณะที่โครงข่ายสถานีชาร์จทั่วโลกในปัจจุบัน ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เอ็กซ์เผิง จึงต้องสร้างกลยุทธ์ในการบริหารพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ ‘Kunpeng Super Electric System’ ช่วยเพิ่มระยะการขับด้วยไฟฟ้าล้วน เป็น 430 กิโลเมตร และเพิ่มระยะทางรวมเป็น 1,400 กิโลเมตร โดยจะเริ่มผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่ ภายในไตรมาส 4 ปี 2568 เพื่อนำเสนอประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่ ให้กับผู้ใช้ทั่วโลก
 
เอ็กซ์เผิง กำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำที่จะเปลี่ยนอนาคตของการเดินทาง ทั้งบนถนน, ท้องฟ้า และข้ามทุกสภาพแวดล้อมที่ขับเคลื่อนด้วย AI จากความมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างท้าทายและความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เหล่านี้ เอ็กซ์เผิง ยึดมั่นในพันธกิจที่จะทำให้การเดินทางอัจฉริยะเข้าถึงได้ ปลอดภัย และเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้อย่างแท้จริง

15
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)

ปวดประจำเดือน หมายถึง อาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน พบประมาณร้อยละ 70 ของผู้หญิงวัยที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะปวดไม่มากและสามารถทำงานได้ตามปกติ มีส่วนน้อยที่อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงาน

อาการปวดประจำเดือนแบ่งได้เป็น ชนิดปฐมภูมิ (หรือไม่ทราบสาเหตุ) ซึ่งพบเป็นส่วนมาก กับชนิดทุติยภูมิ (หรือมีสาเหตุ) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย

ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (primary dysmenorrhea) จะพบในเด็กสาว ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่มีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายใน 3 ปีหลังมีประจำเดือนครั้งแรก จะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้อาการจะค่อย ๆ ลดลง บางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมีบุตรแล้ว จะมีส่วนน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน

ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (secondary dysmenorrhea) จะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย


สาเหตุ

ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ จะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ปัจจุบันนี้เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจำเดือน และมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) มากผิดปกติ ทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัว เกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย

ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ มักมีความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น เยื่อบุมดลูกต่างที่ เนื้องอกมดลูก มดลูกย้อยไปด้านหลังมาก ปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง ปากมดลูกตีบ (cervical stenosis) เป็นต้น

เชื่อว่าอารมณ์มีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจำเดือนทั้ง 2 ชนิด เช่น พบว่าผู้ที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมีความเครียดจะมีอาการปวดรุนแรงกว่าผู้ที่มีอารมณ์ดี

ผู้ที่มีประวัติว่ามีญาติสายตรงมีอาการปวดประจำเดือน หรือผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดประจำเดือนได้มากกว่าปกติ


อาการ

จะเริ่มมีอาการก่อนมีประจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง และเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3 วันแรกของประจำเดือน โดยมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ ที่บริเวณท้องน้อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ใจคอหงุดหงิดร่วมด้วย

ถ้าปวดรุนแรงอาจมีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็นได้

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากอาการปวดท้องอาจทำให้ต้องพักงาน พักการเรียน

ส่วนในรายที่เป็นปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เยื่อบุมดลูกต่างที่ทำให้เป็นหมัน, เนื้องอกมดลูกทำให้ตกเลือด เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก การตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าปวดไม่มาก ให้กินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล

2. ถ้าปวดมาก ให้นอนพัก ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง และให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ไอบูโพรเฟน ควรกินก่อนมีประจำเดือน 48 ชั่วโมง และกินทุกวันจนเลือดประจำเดือนหยุดออก หรือให้ยาแอนติสปาสโมดิก เช่น ไฮออสซีน บรรเทาปวด

3. ในรายที่เป็นอยู่ประจำ อาจให้กินยาเม็ดคุมกำเนิด (กินแบบเดียวกับใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด คือวันละ 1 เม็ด ทุกวัน) เพื่อมิให้มีการตกไข่ จะช่วยไม่ให้ปวดได้ชั่วระยะหนึ่ง อาจให้ติดต่อกันนาน 3-4 เดือน แล้วลองหยุดยา ถ้าหากมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดต่อไปอีกสักระยะหนึ่งจนกว่าเมื่อหยุดยาแล้วอาการปวดประจำเดือนทุเลาไป

4. ถ้าพบว่าอาการปวดประจำเดือนเริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในผู้หญิงอายุมากกว่า 25 ขึ้นไป มีอาการปวดรุนแรง หลังแต่งงานยังมีอาการปวดมาก มีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติ หรือสงสัยเป็นปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ แพทย์จะทำการตรวจภายใน และทำการตรวจพิเศษ เช่น อัลตราซาวนด์ การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (Iaparoscope) เป็นต้น เพื่อค้นหาสาเหตุให้แน่นอน และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ


การดูแลตนเอง

หากมีอาการปวดท้องเวลามีประจำเดือนที่ไม่รุนแรง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    นอนพัก ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง
    ถ้าปวดมากกินยาพาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดรุนแรง
    มีไข้สูง หนาวสั่น
    กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อย
    มีอาการขัดเบา และปวดแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ
    มีอาการปวดประจำเดือนเป็นครั้งแรก
    ปวดรุนแรงกว่าที่เคยปวดมาก่อน หรือหลังแต่งงานยังมีอาการปวดประจำเดือนมาก
    มีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติ
    ดูแลรักษาตนเองแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีประวัติการแพ้ยา เป็นสตรีที่กำลังให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยาหรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะสตรีที่ให้นมบุตร และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

สำหรับอาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ อาจป้องกันหรือลดอาการปวดด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

    ออกกำลังกายเป็นประจำ
    งดสูบบุหรี่
    กินยาเม็ดคุมกำเนิดตามคำแนะนำของแพทย์


ข้อแนะนำ

1. ควรให้ความมั่นใจแก่เด็กสาวที่เริ่มมีอาการปวดประจำเดือนว่า โรคนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นอาจทุเลาหรือหายได้เอง ตลอดจนให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับประจำเดือน

2. ในรายที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ มักมีสาเหตุจากเยื่อบุมดลูกต่างที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีบุตรยาก

3. ผู้หญิงที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ ถ้าหากมีอาการปวดท้องรุนแรงผิดไปจากที่เคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีอาการกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวาก็ควรจะรีบไปโรงพยาบาล อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ หรือสาเหตุที่ร้ายแรงอื่น ๆ ได้

หน้า: [1] 2 3 ... 28