head prakardsod






























































ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor At Home: วัณโรคปอด  (อ่าน 8 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 100
    • ดูรายละเอียด
Doctor At Home: วัณโรคปอด
« เมื่อ: วันที่ 6 กันยายน 2024, 18:13:30 น. »
Doctor At Home: วัณโรคปอด

ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้

วัณโรคปอดมีอาการอย่างไร

วัณโรคมีอยู่ 2 ประเภท คือ วัณโรคแฝง และ วัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบ คนที่มีวัณโรคแฝงจะไม่แสดงอาการและวัณโรคชนิดนี้จะไม่แพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น อย่างไรก็ดี วัณโรคแฝงอาจกลายมาเป็นวัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบได้ และจำเป็นต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกัน ในขณะที่วัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบนั้นทําให้ผู้ป่วยมีอาการของวัณโรค และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคระยะแสดงอาการหรือระยะกำเริบอาจมีอาการดังต่อไปนี้: 

    มีอาการไอเรื้อรังยาวนานถึง 3 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น
    ไอแล้วเสมหะมีเลือดปนออกมา
    มีอาการเจ็บหน้าอก ขณะหายใจหรือไอ
    มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
    มีน้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ
    มีอาการอ่อนเพลีย
    มีไข้ หรือมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน
    รู้สึกหนาวสั่น
    รู้สึกไม่อยากอาหาร

โดยทั่วไปแล้ว วัณโรคอาจเป็นกันได้ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายนอกเหนือจากปอดก็ได้ เช่น ไต กระดูกสันหลัง หรือสมอง โดยจะมีอาการแตกต่างกันไปตามบริเวณร่างกายที่เกิด เช่น ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหลังหากวัณโรคลงกระดูกสันหลัง และผู้ป่วยอาจมีเลือดในปัสสาวะหากวัณโรคลงไต 

เมื่อต้องพบแพทย์

ผู้ป่วยวัณโรคปอดจะมีไข้ น้ำหนักลดโดยหาคำอธิบายไม่ได้ มีเหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือไอเรื้อรังโดยนิยามคือมากกว่า 3 สัปดาห์ หากมีอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที โดยแพทย์อาจใช้วิธีซักประวัติ ตรวจร่างกาย และผลปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุของโรค 

สาเหตุของวัณโรคปอด

โดยทั่วไปแล้ว วัณโรคปอดมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ที่ทำให้เกิดโรค ที่รับผ่านกันมาจากละอองฝอยทางอากาศ วัณโรคเป็นโรคติดต่อ แต่ก็ไม่ได้ติดกันง่าย ๆ ซึ่งหมายความว่า ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะติดโรคจากคนใกล้ชิดหรือคนที่ทํางานด้วยกัน ไม่ใช่คนแปลกหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์จะได้รับเชื้อและเกิดวัณโรคง่ายกว่าคนทั่วไป เนื่องจากมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้ เชื้อวัณโรคบางชนิดมีการดื้อยา โดยเฉพาะกลุ่มยาไอโซไนอาซิดและไรแฟมพิซิน


ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดวัณโรคปอดมีอะไรบ้าง

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคปอดมีหลายอย่าง เช่น: 

    มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากมีโรคบางอย่างหรือเข้ารับการรักษาบางประเภท เช่น เป็นเอดส์ หรือ กำลังทำเคมีบําบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
    เดินทางหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคสูง
    กำลังใช้สารบางอย่าง เช่น สูบบุหรี่ ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
    ไม่มีบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขให้ผู้ป่วยได้เข้าใช้บริการ
    อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค เช่น กำลังอาศัยอยู่หรือเคยทำงานในสถานพยาบาล หรือกำลังอาศัยอยู่ในหรืออพยพมาอยู่ในประเทศที่มีการติดเชื้อวัณโรคสูง หรือกำลังอาศัยอยู่กับผู้ที่ติดเชื้อวัณโรค

 
แพทย์วินิจฉัยวัณโรคปอดได้อย่างไร

โดยปกติแล้ว แพทย์มักเริ่มด้วยซักประวัติและการตรวจร่างกาย เช่น การตรวจต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วย หรือใช้หูฟัง (Stethoscope) เพื่อฟังเสียงในปอดขณะหายใจ นอกจากนี้ แพทย์อาจเลือกใช้การตรวจอื่น ๆ ด้วย เช่น การตรวจผิวภูมิต้านทานเฉพาะ การตรวจเลือด การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่าย X-Ray และการตรวจเสมหะ 


แพทย์รักษาวัณโรคปอดอย่างไร

แพทย์มักเลือกใช้ยาในการรักษาวัณโรคปอด ซึ่งใช้เวลาในการรักษานานกว่าโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น การรักษาวัณโรคปอดอาจแตกต่างกัน ไปดังนี้: 
ยารักษาวัณโรคปอดที่ใช้บ่อยที่สุด

แพทย์อาจเลือกใช้ยารักษาผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค ดังต่อไปนี้: 

    ไอโซไนอะซิด (Isoniazid)
    ริฟามพิน (Rifampin)
    เอทแทมบูท (Ethambutol)
    ไพราซีนาไมด์ (Pyrazinamide)

ทั้งนี้ แพทย์อาจสั่งยาเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นวัณโรคชนิดที่ดื้อยาแล้ว เช่น: 

    เบดาไคลีน (Bedaquiline)
    ไลน์โซลิด (Linezolid)


ก่อนพบแพทย์ ผู้ป่วยวัณโรคปอดควรเตรียมตัวดังนี้

    ทราบถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ก่อนพบแพทย์
    จดบันทึกอาการของโรคที่มี
    เตรียมรายการข้อมูลส่วนตัว เช่น มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หรือประวัติการเดินทางไปต่างประเทศ
    เตรียมรายการยา วิตามินหรืออาหารเสริมที่ผู้ป่วยเคยใช้หรือกำลังใช้
    เตรียมคําถามไว้ถามแพทย์


ต้องเจออะไรบ้างเมื่อต้องพบแพทย์

ในระหว่างการซักประวัติผู้ป่วย แพทย์อาจถามเกี่ยวกับ: 

    อาการและเริ่มสังเกตเห็นอาการเมื่อไร
    ผู้ป่วยมีเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์หรือไม่
    ผู้ป่วยเคยอาศัยอยู่ในต่างประเทศหรือเคยเดินทางไปต่างประเทศหรือไม่
    ผู้ป่วยเคยอยู่หรือกำลังอาศัยอยู่กับคนที่เป็นวัณโรคหรือไม่